TVD ประกาศเดินหน้าทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ “ซุปเปอร์ โฮลดิ้ง คัมปานี” หลังบอร์ดมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทเป็น “บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์” ระบุเพื่อสนับสนุนบริษัทในเครือ ทั้งด้านการเงิน การจัดสรรเงินลงทุนในธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เตรียมถ่ายโอนอำนาจการบริหารงานในแต่ละบริษัท เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจ B2B และ B2C พร้อมทุ่มงบเข้าลงทุนในธุรกิจ Blockchain Technology มั่นใจช่วยทำให้บริษัทก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากขึ้น
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ของ TVD มีมติอนุมัติวาระการประชุมที่สำคัญในหลายประเด็น เพื่อให้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่จะปรับโครงสร้างทรานส์ฟอร์มบริษัทเป็น Super Holdings โดยจะมีทั้งการปรับเปลี่ยน ลด เพิ่ม ครบทุกรายละเอียด เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และนำบริษัทกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง นอกจากนี้ ได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทเป็น บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVD Holdings PLC (TVDH)
“นอกจากการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทแล้ว บทบาทใหม่ของ TVDH จะมุ่งให้การสนับสนุนทุกบริษัทในเครือ ทั้งด้านการเงิน การจัดสรรเงินลงทุนในธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะมีการถ่ายโอนอำนาจการบริหารงานในแต่ละบริษัท เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ซึ่งรูปแบบการบริหารงานที่มีลักษณะเป็น Modular จะทำให้แต่บริษัทเกิดความคล่องตัวและความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม TVDH ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคัมปานี ยังคงดูแลบริษัทในเครืออย่างใกล้ชิด และพร้อมให้การสนับสนุนตลอดเวลา จึงเชื่อว่า ด้วยแนวทางนี้จะทำให้บริษัทก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากขึ้น” นายพงษ์ภาณุ กล่าว
ด้านนายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD กล่าวว่า จากมติบอร์ดบริษัทในหลักการปรับโครงสร้างบริษัท ได้เตรียม Spin Off ธุรกิจ B2C และตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด หรือ TV Direct Co., Ltd. โดยมี บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 100% เพื่อดำเนินธุรกิจการตลาดแบบตรงผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ, ทีวีช้อปปิ้ง และคอลล์เซ็นเตอร์ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนระบบเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบการทำงานกลาง ระบบ Live Commerce เพื่อให้เกิดกระบวนการทำงานที่สั้นลง สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงจัดสรรบุคลากรใหม่ให้เกิดความคล่องตัว อย่างไรก็ตาม จากการเกิด Disruption ที่มีผลให้จำนวนคนดูทีวีลดลง โดยเฉพาะกลุ่มดาวเทียมและการเกิดคู่แข่งรายใหม่ จึงคาดว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจะติดลบลดลง และเข้าสู่จุด Break Even ภายในไตรมาส 3 นี้
“ตามขั้นตอนของการ Spin Off ธุรกิจ B2C บริษัทใหม่ (บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด) จะต้องทำการซื้อธุรกิจ B2C จากบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยในส่วนนี้ได้มอบหมายให้บริษัท Capital Advantage ทําการประเมินราคา คาดว่าจะได้ราคาสุดท้ายในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้ หลังจากนั้นบริษัทจะดำเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป” นายทรงพล กล่าว
สำหรับธุรกิจ B2B นั้น คณะกรรมการบริษัทมีมติให้บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อหุ้นรายย่อยของบริษัท เอบีพีโอ จำกัด (ABPO) ทั้งหมด 22.69% ในราคา Fair Value เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 44,192,247 บาท ซึ่งจะทําให้การดำเนินงานต่อจากนี้ไม่ต้องกังวลเรื่อง Inter – Related Transaction (รายการที่เกี่ยวโยงกัน) และทําให้การดำเนินงานและการลงทุนโดยบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) สามารถทําได้ทันที เนื่องจากเป็นโฮลดิ้งส์ที่ถือหุ้น 100%
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติหลักการเข้าซื้อหุ้นอีก 2 บริษัทที่บริษัท ABPO ลงทุนอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ บริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จํากัด ซึ่งดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัย มีทุนจดทะเบียน 55 ล้านบาท โดยได้ว่าจ้างบริษัท Capital Advantage ทำการประเมินราคา Fair Value ตามหลักการซื้อทรัพย์สิน ซึ่งจะต้องรอรายการสรุปสุดท้ายกลางเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนซื้อกิจการต่อไป และบริษัท ฟู้ด ออเดอรี่ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เป็น matching fund โครงการแรกด้วยทุน matching จำนวน 45 ล้านบาท โดยปัจจุบัน ABPO ถือหุ้น 10.10% คิดเป็นเงินลงทุน 15 ล้านบาท และบริษัท ฟู้ด ออเดอรี่ ได้ระดมทุน Crowdfunding กับ Sinwattana, Platform ซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในราคาหุ้นละ 3,400 บาท และมีผู้ลงทุนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามหลัก Share Base บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จะซื้อเงินลงทุนจาก ABPO เป็นวงเงินทั้งสิ้น 34 ล้านบาท ซึ่งจะทําให้ ABPO มีกําไรจากการขายเงินลงทุนประมาณ 19 ล้านบาท และหลังจากนี้ บริษัทจะไม่ต้อง Double Consolidation อีกต่อไป ส่งผลให้การทํางานจะมีความชัดเจนมากขึ้น
ส่วนการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตอย่าง Blockchain Technology ได้แก่ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Tokenizationand Crypto) และสกุลเงินดิจิทัล (Crypto) จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 55 ล้านบาทใน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ Crypto Mining จะใช้เงินลงทุนก้อนแรก 25 ล้านบาท โดยจากการคํานวณความสามารถของเทคโนโลยีเครื่องขุดและราคาของสกุลเงิน BITCOIN ในปัจจุบันที่ช่วงราคาประมาณ 25,000 – 30,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 BITCOIN จะยังมีผลกําไรไม่มาก (หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งค่าไฟและค่าเสื่อม) อย่างไรก็ตาม เมื่อราคา BITCOIN มีมูลค่ามากกว่า 30,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 BITCOIN ขึ้นไป จะสามารถสร้างกำไรได้ประมาณ 18 – 25% และบริษัทเตรียมขยายการลงทุนเครื่องขุดชุดที่สองอีก 25 ล้านบาท สําหรับเทคโนโลยีใหม่ที่กําลังจะออกมาปลายปีนี้
โครงการ Node Validator (ผู้ตรวจสอบธุรกรรมบน Block Chain) ของ BITKUB ซึ่งจะเป็น 1 ใน 10 NODE ที่ได้รับเลือกในรอบปี 2565-66 โดยจะทําหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง (Validation) เพิ่มเติมสําหรับบัญชี แยกประเภท (Ledger) ทําให้ทุกคนสามารถดูธุรกรรมหรือข้อมูลที่ดําเนินการหรือเก็บไว้ในเครือข่ายได้อย่างโปร่งใส ทําให้แน่ใจว่า ระบบ Blockchain ของ Kub มีความถูกต้อง ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงได้โดยบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการเป็น Node Validator ประมาณ 12% ของจํานวนเหรียญ KUB ที่ลงทุน หรือประมาณ 15,000 เหรียญต่อปี จากจำนวนทั้งหมดที่ลงทุน 125,000 เหรียญ ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 15 ล้านบาท ในช่วง 12 เดือนนับจากนี้ไป
โครงการ POS (Proof of Staking) ซึ่งเป็นระบบปันผลแบบ PASSIVE INCOME ในโลกของ CRYPTO โดยเป็นการวางเงินค้ำประกันเพื่อได้รับเหรียญโดยไม่ต้องทําการขุด ทั้งนี้โดยปกติการถอดรหัสแบบ Proof of work เป็นการขุดเหรียญแบบทั่วไป แต่ POS เป็นการวางเงินค้ำประกัน ดังนั้น บริษัทจึงไม่ต้องขุดและไม่ต้องถอดรหัส ส่งผลให้ธุรกรรมของ BLOCKCHAIN นั้นๆ ทําได้อย่างรวดเร็วขึ้นมาก โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นในส่วนนี้ 15 ล้านบาท
ทั้งนี้ มั่นใจว่า การดําเนินธุรกิจ Blockchain ในครั้งนี้ จะมีความปลอดภัยและคุ้มค่า รวมถึงได้เรียนรู้กระบวนเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมจะทําโครงการ Tokenize จากธุรกิจของบริษัทเองต่อไป โดยการลงทุนดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทมีมติให้บริษัท ทีวีดี เอ็ม จำกัด (TVD Monetary) เป็นบริษัทหลักในการดําเนินธุรกิจ Blockchain
**********