บล.กรุงศรีฯ:
ถ้าสงครามยูเครน – รัสเซียจบ? (NEUTRAL)
วิกฤตในยูเครนทำให้เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทานอาหาร และหากสงครามรัสเซีย – ยูเครนจบ เราคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทอาหารจะลดลง และเราคาดว่าต้นทุนข้าวโพดและข้าวสาลีลดลง 10% จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.40-0.96% อย่างไรก็ตามหากสงครามจบลงจะมีผลกระทบต่อ TVO และ TWPC เนื่องจากดีมานด์ของผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะลดลง เราชอบ CPF (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 31.50 บาท)
วิกฤตยูเครนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอาหาร
ยูเครนมีสัดส่วนการค้าข้าวโพด 17% ของการค้าทั่วโลก และข้าวสาลี 12% นอกจากนี้ ยูเครนยังเป็นผู้ส่งออกหลักของน้ำมันทานตะวัน 50% ของการส่งออกน้ำมันทานตะวันทั่วโลก โดยน้มันดอกทานตะวันคิดเป็น 10% ของการผลิตน้ำมันพืชทั่วโลก หากสงครามยูเครน – รัสเซียจบ เราคาดว่าผลผลิตและการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวจะฟื้นตัวจากการกลับมาเพาะปลูกใหม่ ทำให้ราคาสินค้าดังกล่าวอ่อนตัวลง
ต้นทุนวัตถุดิบบริษัทอาหารลดลง
ต้นทุนอาหารสัตว์เป็นสัดส่วนหลักของการผลิตไก่และสุกร และคิดเป็น 55-65% ของต้นทุนฟาร์มทั้งหมด ขณะที่ข้าวโพดเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารสัตว์สำหรับ CPF และ GFPT แป้งข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ SNNP และ TFM อ้างอิงโมเดลของเรา เราคาดต้นทุนข้าวโพดและข้าวสาลีที่ลดลง 10% จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.40-0.96%
รายได้ธุรกิจเกษตรมีแนวโน้มอ่อนแอลง
ราคาน้ำมันถั่วเหลืองมีแนวโน้มลดลง เนื่องจาก (1) หากสงครามจบลงซัพพลายน้ำมันทานตะวันจะเพิ่มขึ้นจากยูเครน และ (2) ราคาน้ำมันปาล์มจะลดลงจากความต้องการใช้เป็น Biodiesel ที่น้อยลง หากการผลิตข้าวโพดและการส่งออกของยูเครนฟื้นตัว และเราคาดดีมานด์แป้งมันจะคลายลง เนื่องจากเป็นสินค้าทดแทนของแป้งข้าวโพด ดังนั้นรายได้ขายของธุรกิจเกษตร เช่น TVO และ TWPC มีแนวโน้มลดลง
CPF เป็นหุ้นเด่น หากสงครามยูเครน – รัสเซียจบลง
เราชอบ CPF (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 31.50 บาท) จาก 3 เหตุผล: (1) อัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบต่ำลง, (2) ราคาสุกรในประเทศยังอยู่ในระดับสูงในปี FY22F-FY23F ผลจากวัฎจักรการผลิตที่ยาว (300 วัน), และ (3) การฟื้นตัวของราคาสุกรในจีน ซึ่งเพิ่มขึ้น 21% เป็น CNY21.26 ใน มิ.ย. จากจุดต่ำสุดที่ CNY17.50/กก. ใน มี.ค.