บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) 19.3%
Close Jun 15, 2022 Price (THB) 9.05
12M Target (THB) 10.80
Previous Target (THB) 13.00
What’s new?
- บริษัทรายงานกำไรปกติ 1Q65 ที่ 328 ลบ. เติบโตได้ YoY จากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่หนาแน่นแต่ลดลง QoQ จากช่วง High Season ในช่วง 4Q64
- บริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2565 จำนวน 10-12 โครงการรวมมูลค่า 7.0-8.0 พันลบ. โตเด่น 17-33% YoY
- แนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือของปี คาดเติบโต QoQ ทุกไตรมาสจากผลกระทบที่จำกัดจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
Our view
- เราคงประมาณการกำไรปกติปี 2565/66 ที่ 1.5 พันลบ. (+4.4% YoY) และ 1.6 พันลบ. (+7.1% YoY) ตามลำดับ
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 เป็น 10.80 บาท เหตุหลักมาจากการปรับลด PER เหมาะสมลงจาก 8.2x เป็น 6.9x จากสถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศ และแนวโน้มการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในช่วงที่เหลือของปี
LALIN PROPERTY Earnings Momentum ยังสดใสในปี 2565
กำไรปกติ 1Q65 ยังเติบโตได้ YoY แม้ลดลงจาก Seasonal Effect ในช่วง 4Q64
บริษัทรายงานรายได้และกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 1.6 พันลบ (-10.0% QoQ, +3.8% YoY) และ 328 ลบ. (-12.9% QoQ, +2.5% YoY) ตามลำดับ ปรับตัวลดลง QoQ จาก 2 ปัจจัยหลักได้แก่ (1) โดยปกติช่วง ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะเป็นช่วง High Season ของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์บางส่วนถูกยกยอดมาจากช่วง 3Q64 ที่มีมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง และ (2) ความไม่แน่นอนสำหรับการต่อมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ คือค่าธรรมเนียมและจดจำนองในบ้านราคาต่ำ 3 ลบ. เป็นผลให้ลูกค้าบางส่วนเร่งโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงสิ้นปีก่อนมาตรการดังกล่าวจะได้ต่ออายุใน 1Q65
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการปกติยังสามารถเติบโตขึ้นได้ YoY หนุนจากการเปิดตัวโครงการที่หนาแน่น ในปี 2564 จำนวน 9 โครงการรวมมูลค่า 6.0 พันลบ. ทำให้บริษัทมีสินค้าพร้อมขายรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มมากขึ้น หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ซึ่งเป็นผลให้ความต้องการสินค้าแนวราบปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการ Social Distancing
ในแง่ของอัตรากำไรขั้นต้นช่วง 1Q65 อยู่ที่ 39.0% ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 18 bps QoQ และทรงตัว YoY สะท้อนผลกระทบที่จำกัดจากต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ ปูนและเหล็กที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยเงินเฟ้อมหภาค เนื่องจากบริษัทได้ทำสัญญากับผู้รับเหมาไว้แล้วไปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 65 ผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นช่วง 2Q65 จึงคาดอยู่ในเกณฑ์ที่จำกัดเช่นกัน
แผนเปิดตัวโครงการใหม่เป็นจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
ในช่วง YTD บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 5 โครงการรวมมูลค่าทั้งสิ้น 2.5 พันลบ. และมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 3Q64 ราว 3-4 โครงการคิดเป็นมูลค่า 3.4 พันลบ. ขณะที่ 4Q64 คาดจะเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2-3 โครงการรวมมูลค่า 1.0-2.0 พันลบ. ตามลำดับ คิดเป็นแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี 2565 ที่ 10-12 โครงการรวมมูลค่า 7.0-8.0 พันลบ. เติบโตขึ้น 17-33% ยังเน้นที่แบรนด์หลักของบริษัทคือ Lio (ทาวน์เฮ้าส์) และ Lanceo (บ้านเดี่ยว) แต่ปรับการออกแบบให้ทันสมัยภายใต้การดีไซน์แบบ French Colonial รวมถึงการพัฒนา Living Solution แบบครบวงจรเพื่อสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ในช่วงระดับราคาเดียวกัน อาทิ Solar Cell, Eco Technology และ Active Airflow เป็นต้น
แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปียังแข็งแกร่ง
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q65 เบื้องต้นเราคาดเติบโต QoQ ที่ระดับ 5-10% และมีโอกาสเติบโต YoY เมื่อเทียบกับช่วง 2Q64 ที่ 352 ลบ. จากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดจะเติบโต QoQ เป็นขั้นบันไดทั้งในช่วง 3Q65 และทำจุดสูงสุดของปีในช่วง 4Q65 ตามลำดับ ทั้งนี้ แม้การทำสัญญากับผู้รับเหมาในเชิงของวัตถุดิบจะสิ้นสุดลงในช่วง มิ.ย. 65 แต่หากเทียบราคาวัตถุดิบ YTD ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาจากช่วง 1Q65 แล้วจนใกล้สู่ระดับเมื่อปลายปี 2564 จึงคาดผลกระทบต่อ GPM ในช่วงที่เหลือของปีมีจำกัด นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสามารถปรับเพิ่มราคาซื้อขายในบางทำเลหากต้นทุนวัตถุดิบยังทำระดับสูงในช่วงที่เหลือของปี
คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเหมาะสมจากสถานการณ์เงินเฟ้อและแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 เป็น 10.80 บาท/หุ้น หลักๆ เป็นการปรับลด PER เหมาะสมลงจากเดิม 8.2x เป็น 6.9x (เทียบเท่า +1.0 SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) จากปัญหาเงินเฟ้อและปัจจัยระดับมหภาคที่เป็นผลให้คาดการณ์การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. จะเพิ่มขึ้น 0.50% เป็น 1.0% ภายในช่วงสิ้นปี 2565 ซึ่งจะส่งผลเชิงลบต่อกลุ่มอสังหา แม้คาดยังไม่ได้ ส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำลังซื้ออย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3Q64-65