เน้นเลือกหุ้นรายตัวในจังหวะตลาดผันผวน

ตลาดอ่อนไหวต่อการปรับมุมมองของเฟด และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯ ปรับลดลงเฉลี่ยราว 3% หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับมุมมองขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเร่งมากขึ้น ซึ่งแม้จะมีผลดีในการคุมเงินเฟ้อ แต่ก็ทำให้นักลงทุนประเมินปัจจัยดังกล่าวเป็นความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของผลประกอบการ หรือเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้นักลงทุนปรับพอร์ตลดน้ำหนัการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงและหนีเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยเช่น พันธบัตร สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ภาพรวมการลงทุนมีโอกาสผันผวนทางลงไประยะหนึ่ง เรายังมองหุ้นไทยและอาเซียนผันผวนน้อยกว่าหุ้นโลก และมองบวกต่อหุ้นจีน (DR และ ETF) จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเปิดเมือง อย่างไรก็ตาม ภาครัฐขอความร่วมมือกลุ่มพลังงานเก็บเงินช่วยเหลือกองทุนน้ำมันจากกำไรส่วนเกิน โดยคาดได้รับเงิน 6-7 พันล้านบาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เราคาดผลกระทบต่อหุ้นต่างๆ เป็นดังนี้

1) กลุ่มโรงกลั่น คาดผลกระทบแต่ละรายโดยประมาณ เรียงลำดับจากผลกระทบต่อกำไรจากมากไปน้อย ได้แก่ IRPC (3,644), BCP (2,034), ESSO (2,949), SPRC (2,966), PTTGC (4,746), TOP (4,661)

2) อย่างไรก็ตาม ESSO และ SPRC เป็นโรงกลั่นนอกกลุ่ม PTT ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นต่างชาติ อาจปฏิเสธการเข้าร่วมช่วยเหลือกองทุนน้ำมัน

3) PTT จะมีผลกระทบจากการเก็บกำไรส่วนเกินโรงแยกก๊าซ 1.5 พันล้านบาท และต่ออายุมาตรการชดเชย NGV  โดยรวมมีผลต่อประมาณการกำไร 4.2 พันล้านบาท หรือ 7.6% ของกำไรคาดการณ์

4) PTTEP ไม่มีผลกระทบจากการขอความร่วมมือ เนื่องจากเงื่อนไขตามสัมปทานคุ้มครอง ภาระค่าใช้จ่ายอื่นที่รัฐจะเรียกเก็บในอนาคตไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม การจ่ายปันผลสูงขึ้นเพื่อให้ PTT สามารถนำส่งปันผลกลับให้ภาครัฐผ่านกระทรวงการคลัง มีโอกาสเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นบวกกับผู้ถือหุ้น

ประเด็นเก็งกำไรอื่น

1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE

2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR

3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO

4) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, GFPT, TFG, TU, KSL, KTIS, KBS, BIS, ASIAN

5) หุ้นประกัน TIPH, BLA, TVI, THREL (แค่เก็งกำไรรับไทยประกันเข้า IPO)

6) หุ้นพลังงาน ปิโตรที่ไม่กระทบจากการขอความร่วมมือ IVL, OR

ภาพรวมกลยุทธ์: ความผันผวนในภาพรวมของสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้หุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,540-1,590 จุด การปรับลงยังเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นในช่วงครึ่งหลัง อาทิ กลุ่มธนาคาร หุ้นเปิดเมืองที่ยังขึ้นน้อย กลุ่มอาหาร และการแพทย์ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน (DR และ ETF อิงหุ้นจีน)

หุ้นแนะนํา: VRANDA, BABA80, CHINA, CPF*

แนวรับ: 1,550-1,540 / แนวต้าน : 1,590 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

ประเด็นการลงทุน

  • สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านดิ่งลงมากกว่าคาด – ดิ่งลง 14.4% ในเดือน พ.ค. สู่ระดับ 1.549 ล้านยูนิต  ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2564 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงสู่ระดับ 1.68 ล้านยูนิต
  • สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด – ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 229,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 215,000 ราย
  • ผลสำรวจชี้สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า – นิตยสาร Newsweek เปิดเผยผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 7 ใน 10 คนเชื่อว่าสหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงินเฟ้อ
  • อดีตประธาน ECB ยืนยันจะมีการขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าเฟด – นายดรากี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ซึ่งเป็นอดีตประธาน ECB กล่าวว่า สหรัฐมีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อสูงกว่ายูโรโซน จึงทำให้การปรับอัตราดอกเบี้ยในยูโรโซนเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าสหรัฐ
  • BoE ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.25% สูงสุดในรอบ 13 ปี – เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนธ.ค. ขณะที่เงินเฟ้อในอังกฤษพุ่งแตะ 9% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
  • คาดหุ้นเข้า FTSE Micro Cap – ได้แก่ BRI, CIVIL, HENG, PEACE, KTBSTMR, SVT, TKC, WFX และ TFM
  • Opportunity day – 17 มิ.ย. SKE, FVC, GPI / 21 มิ.ย. THAI, AIMIRT, GLORY / 22 มิ.ย. AIMCG, TOG, PROSPECT, PLUS / 23 มิ.ย. NNCL, TSC, RP, KEX

ประเด็นติดตาม: 17 มิ.ย. – EU CPI, Fed Chair Powell Speaks / 21 มิ.ย. – US Existing Home Sales / 23 มิ.ย. – US&EU Manufacturing PMI, Services PMI, Russia Debt Payment / 24 มิ.ย. – US – New Home Sales, Russia Debt Payment

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

ประเด็นลงทุนสําหรับหุ้นแนะนำ

  • เก็งกำไร VRANDA* (9) : ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด และน่าจะกลับมาเป็นบวกได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/65 ซึ่งเร็วกว่าคนอื่น แต่ราคายังฟื้นตัวจากโควิดน้อยกว่ากลุ่มท่องเที่ยวอื่น ตัดขาดทุน 6.60 บาท
  • เก็งกำไร BABA80* (6) : หุ้นจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยได้รับผลดีจากการเปิดเมือง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมา ตัดขาดทุน 4.20 บาท
  • เก็งกำไร CHINA* (8) : หุ้นจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยได้รับผลดีจากการเปิดเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมา ตัดขาดทุน 6.80 บาท
  • เก็งกำไร CPF* (29) : ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับเพิ่ม และได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า ตัดขาดทุน 24.50 บาท

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

Market News & Factors

ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (16 มิ.ย.) โดยดาวโจนส์ดิ่งหลุดจากระดับ 30,000 จุด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากธนาคารกลางทั่วโลกได้พากันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์และอังกฤษ (อินโฟเควสท์)

ตลาดหุ้นยุโรป – ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนในวันพฤหัสบดี (16 มิ.ย.) หลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้เกิดความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับผลกระทบของเงินเฟ้อที่มีต่อเศรษฐกิจโลก (อินโฟเควสท์)

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น – ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปิดลบ 4 วันทำการติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดบวกในวันพุธ (15 มิ.ย.) ขานรับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ตามที่ตลาดคาดไว้ (อินโฟเควสท์)

ตลาดน้ำมัน – สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (16 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกยังคงเผชิญภาวะตึงตัว (อินโฟเควสท์)

สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้าง บ้านดิ่งลงมากกว่าคาด – ดิ่งลง 14.4% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 1.549 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2564 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงสู่ระดับ 1.68 ล้านยูนิต (อินโฟเควสท์)

สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด – ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 229,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 215,000 ราย (อินโฟเควสท์)

ผลสำรวจชี้สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า – นิตยสาร Newsweek เปิดเผยผลการสำรวจ ซึ่งจัดทำร่วมกันระหว่างหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์และมหาวิทยาลัย ชิคาโก พบว่านักเศรษฐศาสตร์ 7 ใน 10 คนเชื่อว่าสหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเงินเฟ้อ (อินโฟเควสท์)

อดีตประธาน ECB ยืนยันจะมีการขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าเฟด – นายดรากี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ซึ่งเป็นอดีตประธาน ECB กล่าวว่า สหรัฐมีการจ้างงานเต็มศักยภาพและเงินเฟ้อสูง กว่ายูโรโซน จึงทำให้การปรับอัตราดอกเบี้ยในยูโรโซนเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าสหรัฐ (อินโฟเควสท์)

BoE ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.25% สูงสุด ในรอบ 13 ปี – เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนธ.ค. ขณะที่เงินเฟ้อในอังกฤษพุ่งแตะ 9% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี (อินโฟเควสท์)

คาดหุ้นเข้า FTSE Micro Cap – ได้แก่ BRI, CIVIL, HENG, PEACE, KTBSTMR, SVT, TKC, WFX และ TFM (ข่าวหุ้น)

Opportunity day – 17 มิ.ย. SKE, PVC, GPI / 21 มิ.ย. THAI, AIMIRT, GLORY / 22 มิ.ย. AIMCG, TOG, PROSPECT, PLUS / 23 มิ.ย. NNCL, TSC, RP, KEX (SET)

Report & Corporate News

Oil & Gas Maintained OVERWEIGHT – เราไม่เชื่อว่า SPRC และ ESSO จะเผชิญกับการแทรกแซงจากรัฐบาล เนื่องจากน่าจะได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศและกฎหมายการแข่งขันทางการค้าเสรี  เราคาดว่าจะมีการบริจาคเพียงเล็กน้อยให้กับรัฐบาลในรูปแบบของ CSR นอกจากนี้เรายังเชื่อว่า PTTEP น่าจะได้รับการคุ้มครองโดยสัมปทานและสัญญาแบ่งปันผลผลิต เราชอบ IVL, OR และ SPRC เป็น Top Pick ของเรา คงคำแนะนำ OVERWEIGHT

ADVANC – บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ AIS กล่าวว่า บริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า สร้างศูนย์กลางนวัตกรรมและการทดสอบเทคโนโลยี 5G แห่งแรกในประเทศไทย AIS 5G NEXTGen Center ที่ Thailand Digital Valley บนพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก หรือ EEC รวมถึงเปิดตัว AIS 5G NEXTGen Platform สําหรับการพัฒนา 5G Use Cases แห่งแรกในประเทศไทย (อินโฟเควสท์)

PTT – บมจ.ปตท (PTT) ปรับแผนการลงทุนสำหรับปี 65 จาก 46,589 ล้านบาท เป็น 91,179 ล้านบาท ทั้งนี้ การทบทวนแผนการลงทุนข้างต้น ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงการลงทุนในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% และกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน โดยหลักจากการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจ LNG รวมถึงการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) และการลงทุนในธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life science : ธุรกิจยา Nutrition และอุปกรณ์และการวินิจฉัยทางการแพทย์) โดยหลักจากธุรกิจยาที่มีการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น ในบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (อินโฟเควสท์)

PTTGC – บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดปริมาณการขายครึ่งปีหลังนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่แล้ว จะมีเพียงการปิดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/1, 2/2, 2/3 รวมถึงการปิดซ่อมบำรุงโรง HDPE และโรงกลั่น ขณะที่แนวโน้มของอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ยังทรงตัวในระดับสูง (อินโฟเควสท์)

- Advertisement -