บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY
TP upside (downside) + 21.6%
Close Jun 21, 2022 Price (THB) 60.00
12M Target (THB) 73.00
What’s new?
- ผลที่ประชุมครม.ได้มีการอนุมัติขยายสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 1.5 ล้านสิทธิ และเพิ่มมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ โดยให้เอกชนสามารถนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว อบรม สัมมนา หักลดหย่อนได้ รวมถึงการนำค่าใช้จ่ายในการแสดงสินค้า หรือจัดนิทรรศการ หักภาษีได้ 2 เท่า ในช่วงเดือน 15 ก.ค-31 ธ.ค 65 หนุนกำลังซื้อ
Our view
- 2Q65 คาด SSSG เป็นบวก 7-eleven +ราว 10%YoY ได้ปัจจัยหนุนจาก Back to School และการกลับไปทำงาน และ MAKRO คาด +7 9%YoY ได้ประโยชน์จากการร้านอาหารและการจัดเลี้ยงที่เพิ่มขึ้น
- แนะนำ “ซื้อ” คาดเห็นการฟื้นตัวของยอดขายเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
- ปัจจัยเสี่ยง: ภาวะเงินเฟ้อกระทบกำลังซื้อและต้นทุนมากกว่าที่คาด
CP ALL 2Q65 คาด SSSG เป็นบวกต่อเนื่อง
คาด SSSG 2Q65 ยังเป็นบวกดี
เราคาด SSSG ใน 2Q65 ของ 7-eleven ยังเป็นบวกได้ดี QTD บวกได้ราว 10-12% ได้ประโยชน์จาก Back To School และการเริ่มกลับไปทำงาน และวันหยุดยาวจากเทศกาลสงกรานต์ แม้ว่าในเดือน มิ.ย อาจมีผลกระทบจากเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน อาจมีกำลังซื้อลดลง อย่างไรก็ดี คาดทั้งไตรมาสยังคงเป็น SSSG ที่เป็นบวก ได้ในระดับดีที่ต่อเนื่องจาก 1Q65 ที่ 13%YoY ได้ ขณะที่ SSSG ของ MAKRO คาดจะอยู่ราว 46-9% YoY ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงซื้อของกลุ่มลูกค้าที่เช่น กลุ่มร้านอาหารที่สามารถเปิดได้เต็มที่ รวมถึงเริ่มเห็นการจัดเลี้ยง ส่งผลต่อธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะสาขาในเมืองท่องเที่ยวที่เริ่มเห็นยอดขายที่ฟื้นตัวเพิ่ม ขณะที่ยอดขายในส่วนของ Lotus อาจยังทำได้น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ 7-eleven และ MAKRO โดยในเบื้องต้นเราคาดจะเห็นผลประกอบการโดยรวมของ 2Q65 จะเห็นการเติบโตรายปี (YoY)
ผลกระทบจากเงินเฟ้อ อาจมีแรงต้านบางส่วนจากกำลังซื้อใน 2H65
สำหรับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มอาจมีผลกระทบต่อภาพรวมของกำลังซื้อที่ลดลง อย่างไรก็ดี เราคาดมีผลกระทบต่อสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งยังเห็นการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าสินค้าคงทนหรือสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะที่คาดหวังสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ที่คลี่คลายส่งผลต่อการเดินทางท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มสอดคล้องกับมาตรการรัฐในการหนุนการท่องเที่ยว จากการเพิ่มสิทธิ์ เราเที่ยวด้วยกัน และการผ่อนปรนมาตรการรัฐในวันที่ 1 ก.ค. ก.ค.ทั้งการเปิดสถานบันเทิง รวมถึงการยกเลิก ไทยแลนด์พาส สอดคล้องกับภาครัฐคาดจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าในประเทศ 2.5 -3 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งช่วยสนับสนุนกำลังซื้อให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วง 3Q65 ต่อเนื่องไปยัง 4Q65 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลซื้อ ทำให้เห็นบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
บริษัทอยู่ระหว่างบริหารจัดการควบคุมต้นทุนดอกเบี้ย
- จากผลกระทบจากการปรับเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต จากสัดส่วนของหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยของ CPALL เป็นหนี้ที่เป็น (Float Rate) มาจากของ MAKRO โดยรวมราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็น 32% ของ 7 หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยโดยรวม ซึ่งมีต้นทุนทางการเงินราว 3.5%-4% อาจมีผลกระทบต่อการปรับเพิ่มตาม 7 อัตราดอกเบี้ยในตลาด อย่างไรก็ดี ภายในปี 2565 MAKRO มีแผนหาแหล่งที่มาของเงินทุนแหล่งอื่นที่สามารถลดต้นทุนทางการเงิน เราได้ทดลองทำ Sensitivity การปรับเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในสมมุติฐานการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย 50 bps.-125bps. ที่จะมีผลกระทบต่อดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยอ้างอิงผลประกอบการปกติ ในปี 2566 ภายใต้การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 50 bps. จะมีกำไรสุทธิลดลง 2% และกรณีที่ปรับเพิ่มในระดับ 75-125 bps จะมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิราว 3-4% อย่างไรก็ดี สมมุติฐานดังกล่าวเป็นผลกระทบเต็มปี ขณะที่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง เดือน ส.ค. หรือช่วงท้ายของปี ซึ่งอาจมีผลกระทบของการปรับขึ้นจริงระหว่าง 2H65 เท่านั้น ซึ่งมีผลกระทบต่อกำไรในปี 2565 ไม่มาก ทั้งนี้เราคาดว่าผลกระทบจากภาระดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่ม ทางบริษัทสามารถบริหารและควบคุมต้นทุนได้ โดยติดตามแผนการปรับที่มาของแหล่งเงินทุนของบริษัทใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วง 2H65 อีกครั้ง
แนะนำ “ซื้อ”
เราเลือก CPALL เป็น หุ้น Top pick ของกลุ่มค้าปลีก โดยคาดยอดขายจะเห็นยอดขายฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จากในส่วนของร้านค้าสะดวกซื้อ และธุรกิจ Cash & Carry ของ MAKRO รวมถึง Hypermarket และ Supermarket ของ Lotus ที่คาดหลังจากการแพร่ระบาด COVID-19 ที่มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น รวมถึงมาตรการภาครัฐที่ให้การสนับสนุน การขยายระยะเวลาการเปิด-ปิด ร้านอาหารและสถานบันเทิงเพิ่ม รวมถึงทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เป็นปัจจัยหนุนยอดขายในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นส่วนช่วยรองรับผลกระทบจากการปรับเพิ่มของเงินเฟ้อได้บางส่วน ขณะที่ผลกระทบจากภาระดอกเบี้ย ทางบริษัทอยู่ระหว่างบริหารจัดการที่คาดจะช่วยรักษาหรือลดระดับต้นทุนทางการเงินจากการหาแหล่งที่มาขอเงินทุนแห่งใหม่ที่มีความเหมาะสมได้ ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 73 บาท (อ้างอิงวิธี DCF, WACC 5.3%)