บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

CK Power (CKP.BK/CKP TB)* No permission to dance

Event

ปรับลดคำแนะนำ และราคาเป้าหมาย พร้อมทั้งปรับประมาณการ

Impact

เมื่อพูดถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ต้องนึกถึง CKP

เรามอง CKP เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (RE) ซึ่งมีสัดส่วนมาจากพลังน้ำสูงที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยบริษัทมีโรงไฟฟ้า 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 1,616MWe (ดำเนินการแล้ว 1,0003MWe และกำลังพัฒนา 613MWe) โดยมีฐานที่มั่นคงในลาว (89%) และประเทศไทย (11%) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลังน้ำ (89%) รองลงมาคือก๊าซ (10%) และ solar (1%) ดังนั้นกำไรส่วนใหญ่จึงมาจากพลังน้ำ ทั้งนี้มีเพียง 4% ของกำลังการผลิตเท่านั้นที่ขายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม นอกจากนี้เรายังคิดว่าบริษัทมีความเสี่ยงต่ำจากประเด็นความเสี่ยงของรัฐบาลลาว เพราะขายไฟให้ EDL เพียง 2% ของกำลังการผลิต

ผลประกอบการจะถูกกำหนดโดยสถานการณ์น้ำ

เราคาดว่ากำไรหลักจะเพิ่ม 8% YoY ในปี 2565F และเล็กน้อยในปี 2566F (+4% YoY) และ 2567F (+2% YoY) ซึ่งต่ำกว่า consensus 7-14% เราคิดว่าปัจจัยกระตุ้นในปี 2565F จะมาจากสภาวะ La Nina ที่ส่งผล รุนแรงขึ้น แม้ว่าราคาก๊าซจะสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนในปี 2566-67F คือราคาก๊าซที่ลดลงของ BIC และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงของ XPCL ดังนั้นเราคาดว่า ROE น่าจะทรงตัวอยู่ที่ 5.8-6.1% ในปี 2565-67F เพราะไม่มีโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาในช่วงสามปีข้างหน้า ดังนั้น ตัวแปรสำคัญจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์น้ำ (สำหรับ NN2 และ XPCL) และกระแสน้ำที่ปล่อยจากเขื่อนในจีน (สำหรับ XPCL)

จะขยายกำลังการผลิต โดยเน้นโครงการพลังงานหมุนเวียน

CKP ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 4,800MW ในปี 2567F และ 6,000MW ในปี 2570F (จาก 3,627MW) โดยจะมุ่งเน้นที่โครงการ RE (คิดเป็น 95%) ทั้งนี้ การที่บริษัทมี CH. Karnchang (CK.BK/CK.TB) และ PT SOLE เป็นผู้ถือหุ้น อาจจะทำให้ CKP ได้โครงการใหม่จากผู้ถือหุ้นทั้งสอง ทั้งนี้ CKP ตั้งเป้าการลงทุนใน ASEAN โดยกำลังศึกษาโรงไฟฟ้าพลังงานลม 700MW และ solar 330MW ในลาวและเวียดนาม ทั้งนี้สัดส่วน IBD/E ของ CKP ใน 1Q65 อยู่ที่ 0.64% ซึ่งต่ำกว่า covenant ที่ 3.00x อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ยังรอให้โครงการ LPCL เปิดเชิงพาณิชย์ (SCOD วันที่ 1 มกราคม 2573, 1.5 บาท/หุ้น) เราคิดว่าการหาโครงการลงทุนใหม่ๆ จากนี้ไปจะเป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับ CKP

Valuation and action

เราปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ จาก ซื้อ และปรับลดราคาเป้าหมาย DCF ลงเหลือ 6.35 บาท จากเดิมที่ 7.20 บาท จากการปรับเพิ่มสมมติฐานหนี้ และการปรับประมาณการกำไรเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เรามองว่ายังพอมีโอกาสให้เข้าเก็งกำไรได้ เพราะตามปกติแล้วราคาหุ้น CKP จะวิ่งแรงในไตรมาสที่ 2-3 ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วง high season  ทั้งนี้ เมื่ออิงจากสถิติในอดีต นักลงทุนระยะยาวอาจจะรอให้ราคาหุ้นย่อกลับลงมาในไตรมาสที่สี่ถึงหนึ่งก่อน เรามองว่าการเติบโตในอีกสามปีข้างหน้าของ CKP จะไม่หวือหวา โดยปัจจัยกระตุ้นจะมาจาก (i) การเซ็นสัญญา PPA ของโครงการ LPCL ใน 2H65 (ii) ความชัดเจนของการเข้าซื้อโครงการใหม่ ๆ (iii) สภาวะ La Nina ที่แรงเกินคาด

Risks

มีการปิดโรงไฟฟ้านอกแผน, ปัญหา cost overruns, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย

 

- Advertisement -