STP เผยงานก่อสร้างคลังสินค้าใหม่แล้วเสร็จ ทำให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับขยายกำลังการผลิต เตรียมทยอยติดตั้งเครื่องจักรใหม่ชุดแรกในช่วงไตรมาส 3/65 คาดเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาทันที  เร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ ระบุถือเป็นสัญญาณบวกครึ่งปีหลัง พร้อมใส่เกียร์เดินหน้าบุกตลาด รับดีมานด์กลุ่มลูกค้าหลักในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง หนุนงานบรรจุภัณฑ์กระดาษออเดอร์ทะลัก กำลังการผลิตยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง นับเป็นการย้ำแผนหลังเข้าตลาด mai เชื่อเป็นโอกาสการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

 

  นายสุรนัย โรจน์วงศ์จรัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ STP กล่าวถึงความคืบหน้าแผนการก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติม โดยระบุว่า ปัจจุบันแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ STP มีพื้นที่เพียงพอ พร้อมสำหรับการทยอยติดตั้งเครื่องจักรใหม่ชุดแรกในช่วงกลางไตรมาส 3/65 และรับรู้รายได้เข้ามาทันที ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่คาดว่าจะเริ่มผลิตและรับรู้รายได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ สำหรับแผนก่อสร้างอาคารโรงงาน ขนาดพื้นที่ 5,300 ตารางเมตร คาดแล้วเสร็จในช่วงต้นไตรมาส 4/65 สนับสนุนความพร้อมในการขยายกำลังการผลิตได้เต็มสูบ

สำหรับเครื่องจักรที่จะเข้ามาติดตั้งในปีนี้ คิดเป็นมากกว่า 50% ของแผนขยายไลน์เครื่องจักรทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะทยอยเข้ามาติดตั้งในช่วงต้นปีหน้า สร้างความพร้อมในการขยายงาน รองรับความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป รวมทั้งการรุกไปยังตลาดใหม่ๆ ตามกลยุทธ์ที่วางไว้

ทั้งนี้ ปัจจุบัน STP มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 49.7 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปี ใช้กำลังผลิต ณ สิ้นงวดไตรมาส 1/65 อยู่ที่ประมาณ 99% ซึ่งคาดว่า เครื่องจักรใหม่ที่ติดตั้งจะสนับสนุนกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นอีกราว 50% ขณะที่ทิศทางไตรมาส 2/65 คำสั่งซื้อที่เข้ามายังคงอยู่ในระดับสูง

“หลังจากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เร่งเดินหน้าเพื่อส่งมอบสินค้า ตอบรับดีมานด์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะลูกค้าหลักในอุตสาหกรรมอาหาร มีสัดส่วนมากกว่า 90% ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีการส่งออกและฉายแววโดดเด่น เงินที่ได้จากการระดมทุน จึงใช้เพิ่มความสามารถในการผลิต และรองรับการเติบโตของ STP ให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของเครื่องพิมพ์และขยายกําลังการผลิตที่เน้นการผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหารที่สามารถสัมผัสอาหารโดยตรง (Direct food contact) เปิดช่องทางการขยายฐานลูกค้าใหม่ และสนับสนุนการใช้กําลังการผลิตที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” นายสุรนัย กล่าว

******

- Advertisement -