บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +39.5%

Close Jul 7, 2022 Price (THB) 15.20

12M Target (THB) 21.20

Previous Target (THB) 21.00

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 124 ล้านบาทลดลง QoQ จากการที่ไม่มีการ Built-to-Stock เหมือนใน 1Q65 และ GPM ที่ลดลง QoQ ขณะที่การลดลง YoY มีสาเหตุหลักมาจาก GPM ที่ลดลงและค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มสูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งโรงงานแห่งใหม่ในเวียดนาม
  • กำไรปกติ 3Q65 มีโอกาสฟื้นตัวได้ QoQ และ YoY จาก 1) การคลาย Lockdown ของจีนจะทำให้ราคาขายฟิล์มพลาสติกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น 2) ปริมาณขายมีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทย และการส่งออกอาหารที่อยู่ในระดับสูง

Our view

  • ผลจากการใช้ปัจจัยด้าน ESG ในการประเมินมูลค่า ทําให้เราปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ของ AJ ขึ้นเป็น 21.20 บาท/หุ้น มี Upside 39.5% โดยเรามอง ว่า AJ เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าสู่ Recession อย่างจำกัด เพราะลูกค้าหลักอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และมีปัจจัยหนุนการเติบโตในปี 2566 จากการเปิดโรงงานใหม่ คงคำแนะนำ “ซื้อ”
  • อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการ 2Q65 ที่ลดลง QoQ และ YoY นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ จึงอาจเลือกเข้าลงทุนหลังการประกาศงบ

A. J. PLAST PCL คาดกำไรปกติ 2Q65 ลดลง QoQ และ YoY

คาดกำไรปกติ 2Q65 ลดลง QoQ และ YoY

คาดกำไรสุทธิ 2Q65 ที่ 74 ล้านบาทลดลง (-48% QoQ, -57% YoY) ถูกกดดันจากรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหลังเงินบาทที่อ่อนค่าลงราว 6% ใน 2Q65 อย่างไรก็ตาม หากหักรายการพิเศษออก คาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 124 ล้านบาทลดลง -4% QoQ และ -35% YoY การลดลงเล็กน้อย QoQ มีสาเหตุ หลักมากจาก 1) ไม่มีการ Built-to-Stock ของกลุ่มลูกค้าเหมือนใน 1Q65 และ 2) คาด GPM ลดลงราว -14bps QoQ เพราะราคาฟิล์มพลาสติกในตลาดโลกที่ลดลง QoQ หลังเริ่มมีผู้ประกอบการที่พึ่งพาคำสั่งซื้อจากจีนเป็นหลัก นำสินค้ามาขายในราคาต่ำเพื่อลดจำนวนสินค้าคงคลัง (ผลจากการที่จีน Lockdown นานกว่าที่ผู้ประกอบการหลายรายคาด) ขณะที่การลดลง YoY จากฐานที่สูงในปีก่อนเป็นผลมาจาก 1) GPM ที่ลดลงราว -160bps จากสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ (ราคาน้ำมันยังมีความผันผวน) และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นราว +30% YoY ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงานใหม่ในเวียดนาม (เช่น ค่าดำเนินการต่างๆ) หากกำไรปกติ 2Q65 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติ 1H65 จะคิดเป็นสัดส่วน 44% ของประมาณการทั้งปี

กำไรปกติ 3Q65 มีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ และ YoY

เรามองว่าผลประกอบการ 3Q65 จะสามารถฟื้นตัวได้ QoQ และ YoY เนื่องจาก 1) แม้ต้นทุนเม็ดพลาสติก PP และ PET มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้นจากการคลาย Lockdown ของจีน (อุปสงค์ฟื้นตัว) แต่ราคาฟิล์มพลาสติกในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าวด้วยเช่นกัน จึงคาด GPM ของบริษัทฯ มีโอกาสฟื้นตัว QoQ 2) ปริมาณขายยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากการเปิดประเทศของไทย (ระดับการบริโภคโดยรวมฟื้นตัว) รวมถึงปริมาณการส่งออกอาหารที่อยู่ในระดับสูง (ใช้ฟิล์มพลาสติกเป็น Packaging) และ 3) ไม่ประสบปัญหาด้านการส่งมอบสินค้าในประเทศไทยหลังไม่มีการใช้มาตรการ Lockdown เหมือนใน 3Q64 (ช่วงที่ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าระบาด)

ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 21.20 บาท/หุ้น จากปัจจัยด้าน ESG

เราประเมินปัจจัยพื้นฐานด้าน ESG ของ AJ ได้ในระดับ AA ทำให้เราปรับเพิ่ม Premium ของ PBV Band ขึ้น 2% ทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ของ AJ เพิ่มขึ้นเป็น 21.20 บาท/หุ้น (อิง PBV 1.9x) มี Upside 39.5% โดย AJ ถือเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อย่างจำกัด เพราะได้รับคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) ราว 80% ของปริมาณขาย นอกจากนี้ในระยะยาว AJ มีแรงหนุนจากการเปิดโรงงาน 2 แห่งใหม่ในไทย และเวียดนามซึ่งจะทำให้ผลประกอบการสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในปี 2566 จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยราคาปัจจุบันซื้อขายอยู่บน PBV ปี 2565 เพียง 1.3x (เทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปี) อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสถูกกดดันจากกำไรปกติ 2Q65 ที่ลดลง QoQ และ YoY นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ จึงอาจเลือกเข้าลงทุนหลังการประกาศงบในเดือน ส.ค.

- Advertisement -