บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +22.7%

Close Jul 12, 2022 Price (THB) 375.00

12M Target (THB) 460.00

Previous Target (THB) 460.00

What’s new?

  • 2Q65 เป็นช่วงที่ท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจ และการ Lockdown ของจีน กดดันอุปสงค์ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง, ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น, ขาดทุนสินค้าคงคลัง และการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน
  • อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิทำได้ 9.3 พันล้าน บาท -46% YoY จากฐานสูงผิดปกติ แต่ +5% QoQ ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ หนุนจากการบริหารจัดการที่ดี เช่น เน้นสินค้า HVA, ปรับราคาขาย, ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก, ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า และส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น

Our view

  • 2H65 ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาค ทั้งนี้ มองว่า SCC จะสามารถบริหารจัดการได้ดีเช่นเดียวกับ 2Q65
  • คงราคาเหมาะสม 460.00 บาท และคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับลงทุน 6-12 เดือน จาก 1) Valuation ที่มี Downside จำกัด (PBV ที่ 1.2 เท่า มี Discount กว่า -2.00 SD และใกล้เคียงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551) 2) ปี 2566 จะเริ่มรับรู้โครงการ LSP 3) อุปทานใหม่ PE จะผ่านช่วงแย่สุดในปี 2565 4) มี Upside หาก สหรัฐฯ จีนผ่อนคลายนโยบายกำแพงภาษี 5) Spin-off SCGC ปี 2566

THE SIAM CEMENT ประคองตัวได้ดี ท่ามกลางสถานการณ์ที่ลำบาก

คาด 2Q65 อยู่ในระดับน่าพอใจท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย

แม้สถานการณ์ช่วง 2Q65 จะเป็นช่วงที่ท้าทายจาก 1) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจทั้งในประเทศ – ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ปิโตรเคมี (สัดส่วน 30% ของทั้งโลก) 2) ต้นทุนพลังงาน – เชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้น 3) ราคา Naphtha ขยับลง เพราะอุปทานในตลาดสูงขึ้นจาก การเพิ่มอัตราการผลิตของโรงกลั่น  ท่ามกลางการปรับลดกำลังผลิตของโรงงานปิโตรเคมีในภูมิภาค (SCC ลดอัตราการผลิตลง 5-7%) ส่งผลให้คาดว่าจะมีขาดทุนสินค้าคงคลัง 1 พันล้านบาท 4) เป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีตามแผน ซึ่งกระทบต่อปริมาณผลิต 4 หมื่นตัน (จากระดับปกติราว 5 แสนตัน/ไตรมาส) 5) การอ่อนตัวตามปัจจัยฤดูกาล (เข้าสู่หน้าฝน และเทศกาลวันหยุด) อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การบริหารจัดการที่ดีของบริษัทฯ เช่น การเน้นขายสินค้ามูลค่าสูง (HVA), การผลิตแบบ Optimization, การทยอยปรับราคาสินค้าให้สะท้อนต้นทุนควบคู่การรักษาส่วนแบ่งการตลาด, การเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงทางเลือก, ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนสูงขึ้น โดยหลักมาจาก Butadiene Spread ที่พุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าตัว QoQ จากการลดกำลังผลิตของโรงงานในภูมิภาค ทำให้คาดการณ์ว่า 2Q65 จะมีกำไรสุทธิ 9.3 พันล้านบาท ลดลง -46% YoY จาก Spread ปิโตรเคมีสูงผิดปกติใน 2Q64 เพราะปัญหา Polar Vortex ในสหรัฐฯ แต่เมื่อเทียบกับ 1Q65 จะเติบโต +5% QoQ และถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเทียบกับภาวะตลาดที่ท้าทาย

ปัจจัยมหภาคยังมีความไม่แน่นอน แต่คาดบริษัทฯ จะสามารถบริหารจัดการได้

สำหรับแนวโน้ม 2H65 แม้มองว่าปัจจัยมหภาคยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่เชื่อว่า SCC จะสามารถบริหารจัดการได้ดีเช่นเดียวกับ 2Q65 โดยช่วง 2H65 คาด 1) เห็นการปรับเพิ่มราคาขายวัสดุก่อสร้างต่อเนื่อง 2) ประเมินราคาน้ำมันจะมี Upside จำกัด และผันผวนน้อยลง HoH ช่วยลดแรงกดดันด้านวัตถุดิบ และช่วยเพิ่มอุปสงค์ และ 3) การทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมของจีน จะทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีในภูมิภาคฟื้นตัว ช่วยดูดซับกำลังผลิตใหม่ช่วง 2H65 หาก 2Q65 เป็นไปตามคาด กำไรสุทธิ 1H65 จะคิดเป็น 53% ของคาดการณ์ทั้งปี เราคงประมาณการปี 2565-2566 ที่ 3.4 หมื่น ล้านบาท (-28% YoY) และ 4.3 หมื่นล้านบาท (+27% YoY)

Valuation ไม่แพง ระยะยาวมีประเด็นการเติบโตที่น่าสนใจ

เชิง Valuation ราคาหุ้นมี Downside จำกัดมากแล้ว ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 1.2 เท่า นับว่ามีส่วนลดจากค่าเฉลี่ย 10 ปีกว่า -2.00 SD ใกล้เคียงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551 และการแพร่ระบาดโควิดรอบแรกที่ซื้อขายบน PBV เฉลี่ย 1.1 เท่า และ 1.3 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้ แม้ว่าระยะสั้นจะยังถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม ระยะกลาง – ยาว หุ้นมีความน่าสนใจ จาก 1) การเริ่มรับรู้โครงการ LSP ปี 2566 2) แรงกดดันจากอุปทานใหม่ โดยเฉพาะ PE จะผ่านจุดแย่สุดในปี 2565 3) อุปสงค์ปิโตรเคมีมี Upside หากสหรัฐฯ จีนสามารถผ่อนคลายมาตรการกำแพงภาษี 4) การตัดสินใจลงทุน (FID) ขยายกำลังผลิต Chandra Asri ภายในปีนี้ และ 5) การ Spin-off SCGC ปี 2566 คงราคาเหมาะสม 460.00 บาท และคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการทยอยสะสมเพื่อลงทุน 6-12 เดือน (บริษัทฯ จะรายงานผลประกอบการวันที่ 27 ก.ค.)

- Advertisement -