บล.กรุงศรีฯ:
กลุ่มอุตสาหกรรม | สินค้าอุตสาหกรรม |
หุ้น | SCGP |
มูลค่าพื้นฐาน | 62.00 |
คำแนะนำ | HOLD |
คาดกำไรสุทธิใน 2Q ที่ 1.9 พันลบ. (+14% qoq, -17% yoy) จากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain: IPC) ทรงตัว qoq แต่กำไรจากสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (fibrous chain) ดีขึ้น qoq เนื่องจากราคา short fiber เพิ่มขึ้น และ อุปสงค์ของกระดาษพิมพ์เขียน (P&W) และบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหารเพิ่มขึ้น เรายังคงคำแนะนำถือ และประเมินราคาเป้าหมายที่ 62 บาท
ผลการดำเนินงานดีขึ้น แต่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ
เราคาดว่าผลการดำเนินงานของ SCGP จะดีขึ้นใน 2Q แม้ว่าจีนจะใช้มาตรการ lockdown, ต้นทุนค่าระวางสูง, มีปัญหาขาดแคลน chip, ราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจ IPC ราคากระดาษคราฟท์ (testliner paper) ลดลง US$15 qoq เหลือ US$520/t ในขณะที่ต้นทุน AOCC ลดลง US$5 qoq เหลือ US$275 ทำให้ spread ของ testliner paper ลดลง US$10/t เหลือ US$245/t ใน 2Q ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคา testliner paper ลดลงคือการที่จีนใช้มาตรการ lockdown นอกจากนี้ ราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยที่กดดัน margin อย่างต่อเนื่อง โดยต้นทุนพลังงานคิดเป็น 10% ของต้นทุนรวม ซึ่ง 6ppt มาจากถ่านหิน ทั้งนี้ SCGP ได้ปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ย 3% เพื่อส่งผ่านต้นทุน 95% ของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปให้ลูกค้า สำหรับสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ ราคา short fiber เพิ่มขึ้นเป็น US$813 จาก US$670 ใน 1Q จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทั้งนี้ SCC ใช้ 75% ของ short fiber เพื่อรองรับอุปสงค์ captive demand และขายส่วนที่เหลือ อีก 25% ออกไป นอกจากนี้ อุปสงค์กระดาษพิมพ์เขียน (P&W) และบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหารยังเพิ่มขึ้นใน 2Q ด้วย เราคาดว่า EBITDA margin จะเพิ่มขึ้นเป็น 14% (ของสาย IPC 14%, ของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ 12%) จาก 13% ใน 1Q และคาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q จะอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท (+14% qoq, -17% yoy)
ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญคือฟื้นตัวจากการ lockdown ในจีน, ต้นทุนพลังงานลดลง และต้นทุนค่าระวางลดลง
สภาวะธุรกิจของ SCGP ดีขึ้นจากการที่ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง แต่การฟื้นตัวยังต้องพึ่งอุปสงค์จากจีน เพราะการที่จีนใช้มาตรการ lockdown ทำให้อุปสงค์ลดลง และส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาดเนื่องจากตลาดส่งออกหดตัวลง นอกจากนี้ SCGP ยังเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นด้วย เราคาดว่าต้นทุนถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 8% ของต้นทุนพลังงานทั้งหมดใน 2H ส่วนอัตราค่าระวางขยับลดลงมาบ้างแล้วแต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ เราคิดว่าปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวจะยังคงเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจของ SCGP ใน 2H
คงคำแนะนำถือ และประเมินราคาเป้าหมายที่ 62 บาท
เราประเมินราคาเป้าหมาย DCF ที่ 62 บาท คิดเป็น PE ปี FY22/23F ที่ 34.0x/32.7x และ EV/EBITDA ที่ 13.3x/13.3x ซึ่งถือเป็นช่วงที่สูงเมื่อเทียบกับหุ้นประเภทเดียวกันในตลาดโลก