ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้

รีบาวด์ แต่น่าจะยังผันผวนแรง

ฝ่ายวิจัย KGI ประเมิน SET Index วันพุธ รีบาวด์ แต่น่าจะยังผันผวนแรง… หลังจากเมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับลงค่อนข้างแรง (อ่อนแอกว่าคาด) ตามปัจจัยลบภายในประเทศ เช่น ทางการไทยขอความร่วมมือผู้ค้าหมู-ไก่ ลดราคาสินค้า (เป็นลบต่อกลุ่มอาหาร) และเมียนมาร์ออกมาตรการควบคุมด้านอัตราแลกเปลี่ยน (เป็นลบเชิงจิตวิทยาต่อหุ้นที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ – อ่านเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ เช้านี้ ขณะที่ในวันนี้ ปัจจัยต่อตลาดหุ้นเป็นบวกมากขึ้น ได้แก่ i) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวแรง หลังจากผลประกอบการ บจ.สหรัฐฯ ที่ออกมาเมื่อวานส่วนใหญ่ดีกว่า consensus คาด ผนวกกับตลาดการเงินให้น้ำหนัก ธ.กลางสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นที่คาดหมายกันมาสักพักแล้ว ii) ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์ฯ ปรับลงค่อนข้างแรง (เป็นบวกต่อสินทรัพย์เสียง) หลังจากค่าเงินยูโรรีบาวด์แรง ตามประเด็นข่าวที่ นสพ. Financial Times รายงานว่า ธ.กลางยุโรป (ECB) น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 0.50% ในการประชุมวันพรุ่งนี้ ด้านปัจจัยภายในประเทศ นักลงทุนยังคงติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม. เป็นวันที่ 2 รวมทั้งประเด็นการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ของกลุ่มธนาคาร พาณิชย์ด้วย

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน

เก็งกำไร IP, NEX, COM7*

  • IP (เป้า Consensus 24.9 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 17.2 บาท / แนวต้าน 18.1 – 18.5 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 19 บาท (Stop loss 17 บาท) 2) วันนี้ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP ที่ราคา 14 บาท ให้กับ บ. อินโนบิก (บ.ลูก PTT) ซึ่งจะทำให้ บ.อินโนบิก เข้าถือหุ้น IP ในสัดส่วน 20% คาดจะเป็นบวกต่อ IP ในด้าน i) การเพิ่มฐานเงินทุนเพื่อขยายสาขาร้านขายยา และการเพิ่มช่องทางขายสินค้าของ IP ผ่านช่องทางของ PTT ทั้งในและต่างประเทศ ii) โอกาสการร่วมพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมกับกลุ่ม PTT เช่น การพัฒนายามณีแดง (ยาชะลอวัย) เป็นต้น 3) Valuation ไม่แพง Forward PE ปีนี้ 31 เท่า และจะลดลงเป็น 24 เท่าในปีหน้า (ต่ำกว่าหุ้นร้านขายยาอย่าง HL ที่ Forward PE สูง +40 เท่า) … ข้อมูล Bloomberg consensus
  • NEX (เป้า Consensus 22.8 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.5 บาท / แนวต้าน 16.0 – 16.5 บาท กรณี Break ผ่านแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 17 บาท (Stop loss 14.8 บาท) 2) จากการเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถบัสอีวีของ NEX คาดจะเริ่มส่งมอบรถบัสอีวีได้ในเดือน ส.ค. โดยปัจจุบันมีออเดอร์รอส่งมอบราว +3 พันคัน (NEX มีกำลังการผลิตรถบัสอีวีเต็มที่ราว 9 พันคันต่อปี บนเวลาการทำงาน 3 กะ) ทั้งนี้คาดจากประเด็นรถมล์สาย 8 มีโอกาสที่ NEX จะต้องเร่งการผลิตเพื่อส่งมอบรถในปลายปีนี้ 3) Consensus คาดกำไรปีนี้ +800 ล้านบาท และจะโตต่อเนื่องเป็น +1.7 พันล้านบาทในปีหน้า Forward PE ปีนี้เท่ากับ +/-29 เท่า และคาดจะลดลงเหลือ +/-15 เท่าในปีหน้า
  • COM7* (เป้าพื้นฐาน 52 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 27 บาท / แนวต้าน 29 – 30 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้โอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 33 บาท (Stop loss 26 บาท) 2) ประเมินราคาหุ้นปรับลงสะท้อนความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศจากสถานการณ์เงินเฟ้อไปพอสมควรแล้ว ขณะที่คาดอัตราเงินเฟ้อใกล้ถึงจุดพีคของวัฏจักรรอบนี้ภายใน 3Q65 แล้ว 3) ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 2Q65 ยังเติบโต +34% YoY และคาดผลการดำเนินงาน 2H65 จะโต HoH จากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ และคาดสมาร์ทโฟนใหม่ๆเตรียมเปิดตัว กระตุ้นตลาดฯอีกครั้ง 4) Valuation ไม่แพง ราคาหุ้นพักฐานจน Forward PE ต่ำเพียง +/- 19 เท่า คิดเป็น 1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต

หุ้นมีข่าว

(-) TFG-GFPT-CPF* ราคาหุ้นร่วง กังวลภาครัฐจ่อคุมราคาหมู-ไก่ ฉุดรายได้ (ข่าวหุ้น) TFG-GFPT-CPF ราคาร่วง หลังกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายลดราคาเนื้อหมู-เนื้อไก่ โบรกฯ มองเป็นจิตวิทยาเชิงลบ จากการเข้ามาควบคุมราคาของภาครัฐ ประเมินกระทบ TFG ที่มีฐานธุรกิจในประเทศสัดส่วนมากสุด รองลงมาเป็น GFPT ส่วน CPF กระทบน้อยสุด

(+) BA ผู้โดยสารฟื้น 40% เกาะสมุยฮอดจองล้น (ทันหุ้น) BA ครึ่งหลังปีฟอร์มแจ่ม หลังตัวเลขผู้โดยสารฟื้นตัว 30% คาดสิ้นปีนี้ขยับเพิ่มเป็น 40% ตั้งเป้าในช่วงปลายปี 2566 หรือต้นปี 2567 ตัวเลขผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 80% เข้าสู่ภาวะปกติก่อนช่วงเกิดโควิด-19 ดันผลงานปี 2567 กลับมาเทิร์นอะราวด์ จากปีนี้คาดรายได้แตะ 8 พันล้านบาท เล็งเปิด 4 เส้นทางใหม่ต่างประเทศ ปูทางรับทรัพย์เพิ่ม ส่วนเงินระดมทุนขายสิทธิ์เช่าสมุยช่วยต่อยอดธุรกิจ

(+) BYD จ่อลุยพลังงานสะอาด หลังปรับโครงสร้างสู่ “โฮลดิ้ง คอมพานี (กรุงเทพธุรกิจ) “อีเอ โมบิลิตี้” เตรียมขึ้นแท่นหุ้นใหญ่อันดับ 1 “บีวายดี” เผย ปลายส.ค. บอร์ดเตรียมเคาะแผนปรับโครงสร้างเป็น “โฮลดิ้ง คอมพานี” ปักธงรุก 3 ธุรกิจหลัก “โบรกเกอร์-พลังงานสะอาด-เดินรถโดยสาร” ชี้หากผู้ถือหุ้นไฟเขียวเพิ่มทุนพีพี ดัน “อีเอ โมบิลิตี้” ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 แจงปีนี้ยังขาดทุน เชื่อปี 66 พลิกมีกำไร

(+) IVL* ลุยโครงการคอร์ปัสคริสตี เพิ่มกำลังการผลิต PTA-PET ในสหรัฐฯ (ข่าวหุ้น) “ไอวีแอล” ประกาศเดินหน้าก่อสร้างโครงการคอร์ปัส คริสตี ในรัฐเท็กซัส หนุนกำลังการผลิต PTA อีก 1.3 ล้าน เมตริกตัน/ปี และกำลังการผลิต PET อย่างน้อย 1.1 ล้านเมตริกตัน/ปี คาดจะสามารถเริ่มการผลิตได้ในปี 68 หวังเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน และขยายการบริการให้ครอบคลุมลูกค้าทั่วทั้งสหรัฐฯ

(+) ACC ขยายธุรกิจบริหารหนี้เสียผลตอบแทนสูง (ทันหุ้น) ACC ตั้งบริษัท เอซีซี เอเอ็มซี จำกัด รุกธุรกิจบริหารหนี้เสีย คาดได้ใบอนุญาตไตรมาส 4/2565 ผู้บริหารมั่นใจโอกาสเติบโตสูง พร้อมลุยธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพแบบครบวงจร คาดว่าจะส่งผลให้รายได้เติบโตขึ้น

หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า

  • BDMS* (เป้าพื้นฐาน 31 บาท) แนวรับ 26.25 บาท / แนวต้าน 27.5 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 26 บาท)
  • OTO (เป้าพื้นฐาน 16.2 บาท) แนวรับ 17.0 บาท / แนวต้าน 17.5-18.0 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 16.0 บาท)
  • PTG* (เป้าพื้นฐาน 17.8 บาท) แนวรับ 13.6 บาท / แนวต้าน 14.0-14.4 บาท (Trailing stop 13.5 บาท)
  • BGRIM* (เป้าพื้นฐาน 41 บาท) แนวรับ 36.75 บาท / แนวต้าน 38-40 บาท (Stop loss 36 บาท)
  • HMPRO* (เป้าพื้นฐาน 17.5 บาท) แนวรับ 12.7 บาท / แนวต้าน 13.3-13.5 บาท (Stop loss 12.6 บาท)
  • BCH* (เป้าพื้นฐาน 28 บาท) แนวรับ 19.9 บาท / แนวต้าน 20.6-21.0 บาท (Stop loss 19.8 บาท)
  • MAKRO (เป้าพื้นฐาน 44 บาท) แนวรับ 34.25 บาท / แนวต้าน 36-37 บาท (Stop loss 34 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

BTS แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 12.3 บาท ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไรจากการดำเนินงาน 1Q66 (เม.ย. – มิ.ย.) = 869 ล้านบาท (-13.3% YoY, +17.1% QoQ) อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินประเด็นเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว และหนี้ค้างชำระของทางกทม. จะกดดัน Sentiment การลงทุนระยะสั้นต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจน

บทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน – ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าผลกระทบจากการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนบางส่วนของเมียนมาร์ และข้อจำกัดในการทำธุรกรรมปริวรรตเงินตราจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยมาก ในขณะที่ผลกระทบต่อบริษัทไทยจะอยู่ในวงจำกัดและบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 2-3 แห่งในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มและกลุ่มโรงพยาบาล ที่มีธุรกิจขนาดที่มีนัยสำคัญในเมียนมาร์ เช่น OSP, CBG, BH อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปนักลงทุนยังต้องติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินจ๊าตเมื่อเทียบกับ USD ซึ่งหากค่าเงินจ๊าตอ่อนค่าลงไปมากกว่าปัจจุบัน จะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่เราคาดการณ์ขณะนี้

- Advertisement -