บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +21.2%

Close Jul 19, 2022 Price (THB) 13.70

12M Target (THB) 16.60

Previous Target (THB) 16.50

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 324 ล้านบาทฟื้นตัว QoQ จากปริมาณขายน้ำมันรวม ซึ่งมีโอกาสทำ New High ที่ 1,360 ล้านลิตร และค่าการตลาดที่ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.80 บาท/ลิตร แต่คาดกำไรปกติลดลง YoY เพราะค่าการตลาดน้ำมัน และ LPG ที่ลดลงจากปีก่อน
  • กำไรปกติในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัว HoH และพลิกเป็นกำไร YoY จากแนวโน้มค่าการตลาดที่คาดทรงตัวอยู่ในระดับ 1.70-1.80 บาท/ลิตร และปริมาณการเดินทางที่ฟื้นตัวหลังสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย

Our view

  • เรานำปัจจัยพื้นฐานด้าน ESG มาใช้ในการประเมินมูลค่าของ PTG ทำให้ราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้นเป็น 16.60 บาท/หุ้น มี Upside 21.2% โดยเราประเมินว่าผลประกอบการของบริษัทฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้ว แนะนำ “ซื้อ”
  • PTG มีประเด็นบวกที่รออยู่คือ 1) การลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชนขนาด 3MWe ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเตรียมเอกสารเพื่อขอ PPA แล้ว โดยการลงทุนครั้งนี้จะเป็น Upside ให้กับราคาเหมาะสมของเราอีกราว 0.20-0.30 บาท/หุ้น 2) การ Spin-off ธุรกิจ Palm Complex และธุรกิจ LPG ในช่วง 4Q65

PTG ENERGY คาดกำไรปกติ 2Q65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง QoQ

คาดกำไรปกติ 2Q65 ฟื้นตัว QoQ ตามค่าการตลาดน้ำมัน

คาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 324 ล้านบาท (+95% QoQ, -35% YoY) การเติบโตสูง QoQ จากฐานกำไรที่ต่ำใน 1Q65 เป็นผลมาจาก 1) คาดปริมาณขายน้ำมันรวมใน 2Q65 ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 1,360 ล้านลิตร (+8% QoQ, +5% YoY) เพราะเป็น High Season ของภาคการเกษตร (ช่วงเพาะปลูก) และปริมาณการเดินทางในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังสถานการณ์การแพร่บาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย 2) ค่าการตลาดน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.80 บาท/ลิตร จาก 1.69 บาท/ลิตร ใน 1Q65 เพราะภาครัฐเปลี่ยนจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาท/ลิตร มาเป็นการตรึงราคาที่ 35 บาท/ลิตร แทน (ลดแรงกดดันต่อค่าการตลาดน้ำมันดีเซล) และ 3) ปริมาณขาย LPG ที่เติบโตขึ้นเป็น 115 ล้านลิตร (+9% QoQ, +74% YoY) ตามแนวทางการขยายธุรกิจ LPG ของบริษัทฯ

ขณะที่การลดลง YoY เป็นผลมาจาก 1) ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมันที่ลดลงจาก 1.94 บาท/ลิตร ใน 2Q64 เพราะมีการควบคุมราคาขายดีเซล รวมถึงต้นทุนน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และ 2) ค่าการตลาดของธุรกิจ LPG ที่ลดลงจาก 2.28 บาท/ลิตร ใน 2Q64 เพราะมีการการลดราคาขาย LPG เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด หากกำไรปกติ 2Q65 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติ 1H65 จะคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของประมาณการทั้งปี

คาดผลประกอบการครึ่งปีหลังเร่งตัว HoH และพลิกเป็นกำไร YoY

กำไรปกติ 2H65 มีแนวโน้มเติบโต HoH และพลิกเป็นกำไร YoY เนื่องจาก 1) ภาครัฐใช้มาตรการในการควบคุมราคาน้ำมันดีเซลที่มีความเข้มข้นน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วง 1H65 และ 2H64 (เพิ่มเพดานราคาน้ำมันดีเซลและไม่บังคับให้ผู้ประกอบการลดค่าการตลาด) โดยเฉพาะใน 2H64 ที่มีการใช้มาตรการควบคุมค่าการตลาดน้ำมันดีเซลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และทำให้ผลประกอบการ 2H64 ของ PTG พลิกเป็นขาดทุน เบื้องต้นจึงคาดค่าการตลาดน้ำมันในช่วง 2H65 มีโอกาสทรงตัวอยู่ในระดับ 1.75-1.80 บาท/ลิตร ได้อย่างต่อเนื่อง และ 2) สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลาย และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันสูงขึ้น HoH และ YoY (2H64 และ 1H65 ได้รับแรงกดดันจาก COVID-19 สายพันธุ์ Delta และ Omicron ตามลำดับ)

ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 16.60 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”

จากการที่เราประเมินปัจจัยพื้นฐานด้าน ESG ของบริษัทฯ ได้ในระดับ AA จึงปรับ Premium ของ PER Band ที่ใช้ในการประเมินราคาเหมาะสมขึ้น 2% ทำให้ราคาเหมาะสมของ PTG เพิ่มขึ้นเป็น 16.60 บาท/หุ้น มี Upside +21.2% โดยเราประเมินว่าผลประกอบการของ PTG ได้ผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้ว และอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดการควบคุมค่าการตลาดรอบใหม่น้อย (ราคาน้ำมันมี Upside จำกัด) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” นอกจากนี้ PTG ยังมีประเด็นบวกที่รออยู่คือ 1) การจัดตั้งโรงไฟฟ้าขยะชุมชนขนาด 3MWe ได้รับค่าไฟในรูปแบบ FIT อัตราค่าไฟฟ้า 5.08 บาท/หน่วย และ FiT Premium อีก 0.70 บาท/หน่วย (ในช่วง 8 ปีแรก) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โดยหลังได้รับ PPA จะใช้เวลาก่อสร้างราว 18 เดือน เบื้องต้นคาดการลงทุนในโรงไฟฟ้าดังกล่าว จะทำให้ราคาเหมาะสมของเรามี Upside อีกราว 0.20-0.30 บาท (ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ) และ 2) การ Spin-off ธุรกิจ Palm Complex และ LPG ในช่วง 4Q65

- Advertisement -