บล.เอเซีย พลัส:

2Q65 ดูดี แต่มีความเสี่ยงรออยู่นะ

คาดกำไรสุทธิ 2Q65 อยู่ที่ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185%QoQ พลิกจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 218 ล้านบาท หลักๆ มาจากรายได้หนังที่ฟื้นตัวโดดเด่น ตามหนังฟอร์มยักษ์ที่เข้าฉาย อาทิ Dr.strange, Jurassic World, Topgun ขณะที่รายได้ธุรกิจป๊อปคอร์นเติบโต 37%QoQ ตามรายได้หนังที่ฟื้นตัว รายได้อื่นๆ คาดเติบโตถึง 153%QoQ จากการรับรู้เงินประกันภัยไฟไหม้โรงภาพยนตร์สาขาสุขุมวิท-เอกมัย และส่วนลดค่าเช่ารวมกันกว่า 160 ล้านบาท

แนวโน้มกำไร 3Q65 คาดอ่อนตัวจากรายได้ธุรกิจภาพยนตร์และขายป๊อปคอร์น แม้คาดมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย “TTM” 123 ล้านบาท แต่ไม่อาจชดเชยความเสี่ยงจากการตั้ง Impairment Loss จากสัญญาเช่ากับ MJLF จึงปรับประมาณการกำไรปี 65 ลง 25% ประเมินมูลค่าเหมาะสมถึงวิธี DCF กำหนด Fair Value ใหม่อยู่ที่ 22.00 บาท แนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว

2Q65 ภาพยังดูดี

คาดกำไรสุทธิ 2Q65 อยู่ที่ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185%QoQ และพลิกจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 218 ล้านบาท หลักๆ มาจากรายได้หนังคาดที่ 913 ล้านบาท ฟื้นตัว 70% จากไตรมาสก่อน โดยมีหนังทำเงิน อาทิ Dr.Strange, Jurassic World และ Fantastic Beast ขณะที่รายได้ธุรกิจป๊อปคอร์นเพิ่มขึ้น 37%QoQ ฟื้นตัวตามรายได้หนัง ประกอบกับการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทั้ง Marketplace และจำหน่ายร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ดันยอดขายเติบโตต่อเนื่อง (สัดส่วนการขายหน้าโรงต่อการขายออนไลน์และเซเว่น เท่ากับ 70:30) ขณะที่รายได้ธุรกิจโฆษณาในโรงภาพยนตร์ทรงตัว QoQ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้คาดรายได้อื่น (Other Income) คาดที่ 160 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 153%QoQ หลักๆ เกิดจากการรับรู้เงินประกันภัยไฟไหม้โรงภาพยนตร์สาขา เอกมัย จำนวน 70 ล้านบาท และที่เหลือส่วนใหญ่คือส่วนลดค่าเช่าที่ได้จาก Lanlord ส่งผลให้รายได้รวมคาดที่ 1.7 พันล้านบาท เติบโตถึง 46%QoQ และ 236%YoY

Gross Margin เฉลี่ยคาดที่ 22% (1Q65 อยู่ที่ 11%) จากรายได้ที่ฟื้นตัว QoQ เกือบทุกธุรกิจ ขณะที่ SG&A ปรับเพิ่มขึ้น 30%QoQ จากค่าใช้จ่ายในการโปรโมภาพยนตร์เพิ่มขึ้น

3Q65 อ่อนตัว และจะกลับมาเติบโตใน 4Q65

แนวโน้มกำไร 3Q65 คาดอ่อนตัวลงตามหน้าหนังที่ไม่ได้มีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายเท่า 2Q65 โดยใน 3Q65 มีเพียงเรื่อง “Thor” และหนังไทยเรื่อง “บุพเพสันนิวาส 2” ที่น่าจะเป็นหนังชูโรง ประกอบกับรายได้ขายป๊อปคอร์นและรายได้โฆษณาที่น่าจะอ่อนตัวลงใน 3Q65 เช่นกัน ตามรายได้ภาพยนตร์ที่อ่อนตัว ถึงแม้ 3Q65 คาดจะรับรู้กำไรพิเศษจากการขายหุ้น Thai Ticket Major “TTM” ราว 123 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือครองหุ้น TTM ของ MAJOR ลดลงจาก 40% เหลือ 20% แต่ไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงจากการตั้ง Impairment Loss จากประเด็นการต่อสัญญากับ MJLF ที่แม้จะส่งผลบวกต่อ MAJOR ในเชิงของสัญญาเช่าที่น่าจะทำให้ MAJOR จ่ายค่าเช่าให้กับ MJLF น้อยลง แต่ในเชิงของมูลค่ากอง MJLF ที่คำนวณกระแสเงินสดรับในอนาคตด้วยวิธี Income Approach มีแนวโน้มลดลง ถูกซ้ำเติมด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น นำไปสู่การตั้ง Impairment Loss ที่จะส่งผลกระทบในเชิงลบมากกว่าการบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย TTM โดยฝ่ายวิจัยยังไม่รวมความเสี่ยงจากการตั้ง Impairment Loss ไว้ในประมาณการ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอในการประเมินผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการตั้ง Impairment Loss เป็นรายการ Non-cash จึงไม่กระทบต่อความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของ MAJOR

ปรับประมาณการกำไรปี 2565 ลง

กําไร 1H65 คิดเป็นเพียง 22% ของประมาณการณ์ ฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไรปี 2565 ลง 25% จาก 810 ล้านบาท เหลือ 650 ล้านบาท เพื่อสะท้อน

1.) รายได้ธุรกิจภาพยนตร์ที่ต่ำกว่าคาด จากจำนวนบัตรที่ขาย และ Guest Count ที่น้อยกว่าคาด โดยปรับ Utilization Rate วัดจำนวนคนเข้าโรงจาก 9% เหลือ 7% รายได้ธุรกิจภาพยนตร์ลดลงจาก 4.2 พันล้านบาท เหลือ 3.3 พันล้านบาท (ปรับลดลง 22%)

2.) ปรับรายได้ธุรกิจป๊อปคอร์น (Concession) ลง 29% จาก 1.7 พันล้านบาท เหลือ 1.3 พันล้านบาท ตามรายได้ภาพยนตร์ที่คาดอ่อนตัว (ปรับลดลง 22%)

3.) รายได้โฆษณาในโรงภาพยนตร์ที่แม้จะมีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายใน 2Q65 แต่รายได้โฆษณายังทรงตัว QoQ ประกอบกับปัญหาเงินเฟ้อที่คาดจะกระทบต่อเม็ดเงินโฆษณา โดยรวมใน 3Q65 ปรับสมมติฐาน รายได้โฆษณา / จอ จาก 1.36 เหลือ 1.00 ล้านบาท / จอ รายได้โฆษณาลดลง 1.1 พันล้านบาท เหลือ 845 ล้านบาท (ปรับลดลง 26%)

4.) สัญญาเช่ากับ MULF แม้ฝ่ายวิจัยมองว่า MAJOR มีโอกาสได้ต่อสัญญาสูง เนื่องจากพื้นที่เช่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การปรับกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์เท่านั้น ในประเทศไทยมีเพียง MAJOR กับ SF Cinema ซึ่ง MAJOR น่าจะสามารถกลับมาต่อสัญญากับ MJLF ได้ในเงื่อนไขที่ดีกว่าเดิม ส่งผลให้ค่าเช่าจ่ายน้อยลง อย่างไรก็ตาม การตั้ง Impairment Loss ที่จะเกิดขึ้นใน 3Q65 จะส่งผลกระทบต่อกําไรสุทธิอย่างมีนัยสําคัญ

คงคําแนะนําซื้อ..มูลค่าเหมาะสม 22.00 บาท

ภายหลังปรับประมาณการ กําหนด Fair Value ใหม่ อิงวิธี DCF เท่ากับ 22.00 บาท แนะนําซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว รับกําไร 2Q65 ที่ยังออกมาสดใส

ประเด็นความเสี่ยง

1.รายได้ภาพยนตร์ชูโรงเรื่อง Thor และบุพเพสันนิวาส 2 ที่อาจต่ำคาด ส่งผลให้กระแสตอบรับที่อาจออกมาไม่ดีนัก

2.รายได้โฆษณาในโรงถูกกดันต่อเนื่องจากเงินเฟ้อที่เร่งตัว และอาจส่งผลกระทบที่แย่กว่าคาด และลากยาวถึง 3Q65

MAJOR แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 20.60

ราคาเป้าหมาย (บาท) 22.00

Upside (%) 6.80

Dividend yield (%) 3.71

 

 

- Advertisement -