บล.เอเซีย พลัส:

ใกล้เวลาทวงคืนความยิ่งใหญ่

คาดกำไร 2Q65 อยู่ที่ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151%QoQ แม้รายได้ก่อสร้างจะลดลงกว่า 53% เทียบกับ 1Q65 ที่มีการรับรู้รายได้ Early Work โครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบางจำนวนมาก แต่ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM และ CKP ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บวกกับเงินปันผลรับจาก TTW ช่วยหนุนกำไรให้เติบโตเด่น ภาพธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่ จาก Backlog ที่มีสูงสุดในรอบ 4 ปี พร้อมลุ้น 2 โครงการใหญ่ปีนี้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกและโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง New S Curve ระยะถัดไป

จุดเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมลุ้นข่าวบวกเรื่องการเซ็นสัญญางานใหม่หลายโครงการ ขณะที่กำไรปีนี้ได้แรงหนุนสำคัญจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM ที่กลับมา ประเมิน FV วิธี Sum of the part ได้ 25.00 บาท แนะนำซื้อ

คาด 2Q65 กําไรสุทธิ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151%QoQ

การรับรู้รายได้ธุรกิจก่อสร้างงวด 2Q65 คาดว่าจะทำได้ 3.3 พันล้านบาท ลดลง 53%QoQ เนื่องจากงวด 1Q65 มีการรับรู้รายได้งาน Early Work โครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบางเข้ามาสูงถึง 3,573 ล้านบาท ขณะที่งวด 2Q65 มีรายได้งาน Early work เข้ามาอีกเพียง 300 ล้านบาท ด้าน Gross margin คาดยังอยู่ในกรอบ 7-8% ตามเป้าหมายของบริษัท เช่นเดียวกับ SG&A ที่ไม่น่าจะแตกต่างจากไตรมาสอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับส่วนแบ่ง กำไรตามส่วนได้เสีย คาดไตรมาสนี้มีสูงถึง 428 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 410%QoQ รับอานิสงค์จากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินและทางด่วนเพิ่มขึ้น หนุนกำไร BEM เช่นเดียวกับ CKP ที่ได้ปัจจัยหนุนจากปริมาณผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีที่เพิ่มขึ้น และมีเงินปันผลรับจาก TTW ที่โดยปกติจะมีเข้ามาทุกไตรมาส 2 และ 3 ของปี ครั้งละ 232 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยจ่ายคาดจะสูงกว่า 1Q65 ราว 25 ล้านบาท เนื่องจาก CK มีการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในระหว่างงวด ทำให้มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท โดยรวมจึงประเมินกำไรสุทธิ 2Q65 ไว้ที่ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151%QoQ

อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่ พร้อมลุ้นงาน 2 โครงการใหญ่

ธุรกิจก่อสร้างของ CK กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่ หลังคว้า 2 งานใหญ่ ได้แก่ งานก่อสร้างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ มูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ Backlog สิ้น 2Q65 น่าจะมีสูงถึง 6.2 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี โดยคาดหวังจะเริ่มเห็นรายได้จากธุรกิจก่อสร้างเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ 1Q66 เป็นต้นไป ขณะที่โครงการใหม่ที่คาดหวังจะได้รับเข้ามาเพิ่มเติมในปีนี้ 2 โครงการ ได้แก่

1. โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก มูลค่างานโยธา 9.6 หมื่นล้านบาท น่าจะทราบผลผู้ชนะประมูลในเดือน ต.ค นี้ โดยมีผู้ยื่นซองเสนอราคาเพียง 2 ราย คือ BEM ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CK และ ITD ที่จับมือกับ Incheon Transit ผู้ให้บริการเดินรถสัญชาติเกาหลี โดยฝ่ายวิจัยเชื่อว่า BEM น่าจะมีแต้มต่อเหนือ ITD จากความได้เปรียบทั้งในด้านฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ประสบการณ์เดินรถไฟฟ้าใต้ดินเพียงรายเดียวของไทย ผสานประสบการณ์งานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินของ CK ที่มีมากที่สุดในประเทศไทย

2. โครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง มูลค่างานโยธา 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการลงทุนของ CKP โดย CKP มีการเซ็น Tariff MOU ขายไฟฟ้าให้กับ EGAT ไปตั้งแต่ วันที่ 27 เม.ย 65 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ EGAT ก่อนที่จะมีการลงนามสัญญา PPA และจะตามมาด้วยการเซ็นสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินและสัญญางานก่อสร้าง EPC กับ CK ในลำดับถัดไป

ราคาเหมาะสม 25.00 บาท แนะนํา ซื้อ

จุดเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่กำลังจะเกิดขึ้น จากการคว้าหลายโครงการใหญ่ดัน Backlog สูงสุดในรอบ 4 ปี  พร้อมลุ้นข่าวบวกเรื่องเซ็นสัญญาก่อสร้างโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง 8 หมื่นล้านบาท และยังมีโอกาสเพิ่ม Backlog จากโครงการอื่นๆ ได้อีก โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ขณะที่กำไรปีนี้ได้แรงหนุนสำคัญจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM ที่กลับมาหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ประเมิน FV วิธี Sum of the part ได้ 25.00 บาท แนะนำซื้อ

ประเด็นความเสี่ยง

1. เนื่องจากรายได้หลักของ CK มาจากงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการภาครัฐ จึงมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการต่างๆ

2. ความเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทําให้งานก่อสร้างอาจเป็นไปได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้

3. ความเสี่ยงจากราคาวัสดุก่อสร้าง และต้นทุนแรงงานที่อาจปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

CK แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 21.10

ราคาเป้าหมาย (บาท) 25.00

Upside (%) 18.48

Dividend yield (%) 1.90

 

- Advertisement -