บล.เอเซีย พลัส:

หนทางข้างหน้ายังไม่ราบรื่น

ผลประกอบการ 1H65 ถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะการเพิ่มยอดขายได้ในทุกกลุ่มสินค้า ท่ามกลางสารพัดปัจจัยลบ ทั้งเรื่อง Demand ที่ลดลง และต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซ้ำเติมด้วยรายการพิเศษทางลบจากธุรกิจในศรีลังกา มองทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังยังไม่ราบรื่น โจทย์ใหญ่ที่ต้องเผชิญคือความพยายามในการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปสู่ราคาขายในภาวะที่สภาพตลาดยังไม่เอื้ออำนวย บวกกับความไม่แน่นอนในประเทศศรีลังกาที่อาจลากยาวไปถึงปีหน้า

แม้ฝ่ายวิจัยจะปรับเพิ่มประมาณกำไรปี 2565-66 ขึ้น 25% และ 18% ตามลำดับ สะท้อนความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจในศรีลังกาครึ่งปีแรกที่ดีกว่าคาดมาก แต่ความไม่แน่นอนทางธุรกิจในอนาคตที่มากขึ้น จึงปรับลด Fair Value ลงจากเดิมที่กำหนดอิง PER 17 เท่า เหลือเพียง 14 เท่า ซึ่งน่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่อิ่มตัว ให้ราคาเหมาะสม 170 บาท มี Upside 11% คงคำแนะนำ Switch ไป SCC (FV@Bt 460) ที่มีแผนการเติบโตในระยะยาวที่ชัดเจนกว่า

ครึ่งปีแรกทําได้ดี…..ครึ่งปีหลังยังต้องรอพิสูจน์ฝีมือ

ภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 1H65 ถือว่าทำได้ดี โดยมีกำไรสุทธิ 2,157 ล้านบาท ลดลง 14%YoY ท่ามกลางเผชิญสารพัดปัจจัยลบที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นตลาดซีเมนต์ในประเทศที่หดตัวลง โดยเฉพาะจากภาค Residential  รวมไปถึงประเด็นสำคัญเรื่องต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงและต้นทุนค่าขนส่ง ซ้ำเติมด้วยการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของธุรกิจในศรีลังกา รวมกว่า 1,062 ล้านบาท จากเงินรูปีที่อ่อนค่าลง ในขณะที่ช่วง 1H64 SCCC มีกำไรพิเศษจากการปรับปรุงรายการภาษีจำนวน 678.7 ล้านบาท หลังศรีลังกาประกาศลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 28% เหลือ 18% ดังนั้นหากเปรียบเทียบเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานในช่วง 1H65 ทำได้สูงถึง 3,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%YoY

สิ่งที่ SCCC ทำได้ดีมากในช่วง 1H65 คือการเพิ่มยอดขายได้ในทุกกลุ่มสินค้าไม่ว่าจะเป็นซีเมนต์ คอนกรีตและหินทราย การค้า และผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง โดยมียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 24%YoY อยู่ที่ 25,334 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งราคาขายและปริมาณการขาย สำหรับธุรกิจซีเมนต์ในประเทศ ล่าสุด SCCC สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศขึ้นเป็น 29% จากอดีตที่เคยมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศ 25-27% ขณะที่การส่งผ่านต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงและต้นทุนค่าขนส่งไปสู่ราคาขาย แม้ยังทำไม่ได้ทั้งหมด มีเพียงธุรกิจซีเมนต์ในศรีลังกาที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปสู่ราคาขายได้อย่างเต็มที่ หลังรัฐบาลศรีลังกาประกาศยกเลิกเพดานราคาปูนฯ ตั้งแต่เดือน ต.ค 64 แต่การปรับสัดส่วนการขายสินค้า โดยลดการส่งออกปูนเม็ดซึ่งเป็นสินค้า margin ต่ำลง และรุกตลาดซีเมนต์ในประเทศที่ให้ margin สูงกว่า บวกกับอัตรากำไรของธุรกิจการค้าที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติ ตามทิศทางราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับปูนซีเมนต์ เชื้อเพลิง ขี้โลหะ และเถ้าลอย ทำให้ SCCC มี gross margin เฉลี่ยในช่วง 1H65 เพิ่มขึ้นเป็น 31.9% เทียบกับ 1H64 ที่มี Gross margin เฉลี่ย 29.7%

สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่า SCCC จะต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากการเข้าสู่ช่วงฤดูฝนใน 3Q65 ซึ่งถือเป็น Low Season ของธุรกิจซีเมนต์ น่าจะทำให้การปรับขึ้นราคาซีเมนต์ทำได้ลำบาก ในภาวะที่ต้นทุนพลังงานโดยเฉพาะราคาถ่านหินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อ้างอิงจากดัชนีราคาถ่านหินอินโดนีเซีย (ICI4) ที่ปรับตัวสูงขึ้น 28% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 หลัง SCCC ทยอยใช้สต็อกถ่านหินต้นทุนต่ำหมดลง และต้องรับรู้ต้นทุนถ่านหินใหม่ที่แพงขึ้นตั้งแต่ 2Q65 เป็นต้นไป โดย SCCC มีความพยายามจะเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทน (AFR) ให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ใช้อยู่ประมาณ 12% ส่วนธุรกิจซีเมนต์ในศรีลังกายังมีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่เกิดจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองปัจจุบันของศรีลังกา อาจลากยาวไปอีกอย่างน้อย 6-12 เดือน ส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศศรีลังกามีโอกาสหดตัวลง แม้ว่าบริษัท สยาม ซิตี้ ซีเมนต์ (ลังกา) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SCCC จะมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอื่นในตลาดมาก เพราะได้รับการสนับสนุนด้านวัตถุดิบจากบริษัทแม่คือ SCCC อีกทั้งยังเป็นบริษัทเดียวในศรีลังกาที่มีแหล่งแร่หินปูน (Limestone) เป็นของตนเอง จึงไม่ต้องพึ่งพิง การนำเข้าแร่หินปูนมาผลิตเป็นปูนเม็ด (Clinker) หรือนำเข้าปูนเม็ดมาบดเป็นซีเมนต์ เหมือนผู้ผลิตรายอื่นๆ และสามารถส่งผ่านต้นทุนการผลิตไปสู่ราคาขายได้ทั้งหมด ทำให้ธุรกิจซีเมนต์ในศรีลังกากลายเป็นธุรกิจที่มี EBITDA Margin สูงที่สุดเมื่อเทียบกับฐานธุรกิจในประเทศต่างๆ ที่ SCCC เข้าไปลงทุน โดยงวด 2Q65 ธุรกิจซีเมนต์ในศรีลังกามี EBITDA margin สูงถึง 40% เทียบกับปี 2564 ที่มี EBITDA margin เพียง 17%

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565-66 ขึ้น 25% และ 18% ตามลำดับ

แม้ทิศทางกำไรครึ่งปีหลังจะสู้ครึ่งปีแรกไม่ได้ แต่ผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก โดย SCCC ทำกำไรได้สูงถึง 2,157 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 2,892 ล้านบาท อีกทั้งเงินรูปี ศรีลังกา มีการอ่อนค่าช้าลง ทำให้โอกาสเกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมใน 2H65 มีอีกไม่มาก นอกจากนี้ธุรกิจซีเมนต์ในศรีลังกาไม่ได้สร้างผลขาดทุนให้กับ SCCC อย่างที่ฝ่ายวิจัยเคยกังวล เพราะ SCCC สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปสู่ราคาขายได้ทั้งหมด ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้นจากเดิม 25% เป็น 3,619 ล้านบาท และเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้นจากเดิม 18% เป็น 3,732 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางธุรกิจในศรีลังกาที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะไม่สร้างผลกระทบต่อ SCCC ใน ระยะยาว ประกอบกับความน่าสนใจในเชิงธุรกิจของ SCCC ที่น้อยลง เพราะไม่เห็น Growth Driver ที่ชัดเจนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ฝ่ายวิจัยจึงปรับลด Fair Value ของลงจากเดิมที่กำหนดอิง PER 17 เท่า เหลือเพียง 14 เท่า ซึ่งน่าจะเป็นระดับ PER ที่เหมาะสม สำหรับธุรกิจที่อิ่มตัว ให้ราคาเหมาะสม 170 บาท มี Upside 11% คงคำแนะนำ Switch ไป SCC (FV@Bt 460) ที่มีแผนการเติบโตในระยะยาวที่ชัดเจนมากกว่า

การดำเนินการด้าน ESG ของ SCCC

Environment: การดำเนินการเพื่อลดปัญหาโลกร้อน มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิในปี 2573 ให้เหลือน้อยกว่า 530 Kg CO2/ตัน วัสดุประสานในซีเมนต์ ซึ่งลดลง 15% จากปี 2563 โดยจะเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็นร้อยละ 20 จากปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 11 รวมถึงจะมีการลดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าลง 10% เทียบกับปี 2563 จากการนำเทคโนโลยีใหม่รวมถึงการยกระดับเทคโนโลยีที่ใช้ปัจจุบันให้ดีขึ้น

Social: SCCC มีการวิเคราะห์และกำหนดกลุ่มของผู้มีส่วนได้เสียเพื่อให้เกิดกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญต่อข้อมูล และนำความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียสำคัญมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์และกิจกรรมทางธุรกิจให้เหมาะสม โดยครอบคลุมทั้งพนักงาน ลูกค้า ชุมชน Supplier ผู้ถือหุ้น ภาคราชการและองค์กรภายนอก และสื่อมวลชน

Governance: กำหนดให้มีระบบการควบคุมภายในที่เหมาะสมและเพียงพอเพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์เป้าหมาย และสอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทฯ อาทิ การจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบภายในเพื่อครอบคลุมการปฏิบัติงานของกลุ่มบริษัทฯ ในประเทศไทยรวมถึงบริษัทย่อยในต่างประเทศ การริเริ่มเพื่อสร้างวัฒนธรรมการปฏิบัติตามกฎระเบียบผ่าน e-learning สำหรับพนักงาน ผู้บริหาร และกรรมการทุกท่าน

ประเด็นความเสี่ยง

1.ประสิทธิภาพการทำกำไรสัมพันธ์กับต้นทุนพลังงาน ซึ่งคิดเป็น 60-70% เป็นต้นทุนการผลิต

2. การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศจากภาวะอุปทานล้นตลาด ทำให้การปรับราคาปูนซีเมนต์ทำได้ลำบาก โดยราคาปูนซีเมนต์ในประเทศที่เปลี่ยนแปลงทุก 100 บาท/ตัน จะกระทบต่อกำไรของ SCCC ประมาณ 800 ล้านบาท/ปี

3. ความเสี่ยงจากการด้อยค่าที่เกี่ยวกับค่าความนิยมจากการเข้าซื้อกิจการอื่น ทำให้เกิดค่าความนิยมสิ้น 2Q65 สูงถึง 14,340 ล้านบาท

SCCC แนะนํา SWITCH

ราคาปัจจุบัน (บาท) 152.50

ราคาเป้าหมาย (บาท) 170.00

Upside (%) 11.48

Dividend yield (%) 4.92

- Advertisement -