บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง:
Home Product Center (HMPRO TB) คาดกำไรครึ่งปีหลังดียิ่งขึ้น
คงประมาณการกำไรเดิมและคงคำแนะนำ ซื้อ
หลังการประชุมนักวิเคราะห์ เรายังคงประมาณการกำไรเดิมและคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย (DCF) 16.80 บาท (WACC 7.3%, G.3%) ยอดขายใน 2H65 จะสูงกว่า 1H65 จากการที่ SSSG ฟื้นตัวดีขึ้น และมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากยอดขายสินค้า private label ที่เพิ่มขึ้น และ การปรับราคาขาย เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 65 จะเติบโต 17% เป็น 6.4 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนโควิด ฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.5 เท่า
สรุปผลประกอบการ 2Q65 เติบโตปานกลางตามคาด
กำไรสุทธิ 2Q65 ใกล้เคียงประมาณการของเรา โดยเพิ่มขึ้น 1% QoQ และ 6% YoY เป็น 1.52 พันล้านบาท ยอดขายทรงตัว YoY โดย SSSG ของ HomePro อยู่ที่ 1.1%, Mega Home -6% ถึง 7% และมาเลเซีย +65% อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 54 bps YoY เป็น 25.7% จากสัดส่วนยอดขายสินค้า private label เพิ่มเป็น 20.5% จาก 19.1% ใน 2Q64 รวมทั้งมีการปรับเพิ่มราคาขายสินค้า อย่างไรก็ตาม ค่าขนส่ง ค่า สาธารณูปโภค และค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น 6% YoY คิดเป็นสัดส่วน 18.6% ของยอดขาย เทียบกับ 17.7% ใน 2Q64 ขณะที่ค่าเช่าและรายได้อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กำไร 1H65 คิดเป็น 48% ของประมาณการกำไรทั้งปี 65 เราจึงยังคงประมาณการเดิม
SSSG ฟื้นตัวดีขึ้นในเดือนกรกฎาคม
กำไร 2H65 จะแข็งแกร่งกว่าใน 1H65 เนื่องจากผลกระทบจากฤดูกาล นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และการขยายสาขา โดย SSSG ของ HomePro ในเดือน ก.ค. พลิกเป็นบวกเกิน 10% ในขณะที่ SSSG ของ Mega Home เป็นบวกเช่นกัน เนื่องจากจากฐานต่ำในปีก่อนที่มีการล็อกดาวน์ อีกทั้งยอดขายเพิ่มขึ้นในสาขาที่อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายรวม) ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. บริษัทเมกะโฮมเซ็นเตอร์ถูกควบรวมกับโฮมโปรทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และลูกค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น
เร่งขยายสาขา ขณะที่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่ง
HMPRO จะเปิดสาขา HomePro 1 สาขา และ Mega Home 5 สาขาในช่วง 2H65 ซึ่งจะทำให้ HomePro และ Mega Home มีสาขารวมเป็น 88 และ 19 สาขา ตามลำดับ เราคาดว่าเม็ดเงินลงทุนในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 5.5 พันล้านบาท ซึ่งจะใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดภายในกิจการและเงินกู้ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าฐานะการเงินยังคง แข็งแกร่ง โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนจะอยู่ที่ประมาณ 0.5 เท่าในปี 65