บล.เอเซีย พลัส:
ยืนยันภาพกำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ข้อมูลสำคัญจากที่ประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ยังคงยืนยันภาพแนวโน้มกำไรผ่านจุดต่ำสุดในงวด 2Q65 ไปแล้ว เนื่องจากรายได้รวมที่จะสูงขึ้นมาจาก SSSG ในเดือน ก.ค. อยู่ที่ 16-18% เทียบกับ 2Q65 หดตัวอยู่ที่ 1% และคาด SSSG ดีต่อเนื่องในงวด 4Q65 (ช่วง High Season) รวมถึงแผนการเปิดสาขาใหม่อีกราว 5 สาขา บวกกับ Gross Margin ที่จะทำได้ดีขึ้น จนสามารถชดเชย SG&A/Sale ที่จะเพิ่มขึ้น
ราคาหุ้นปัจจุบันที่ปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดราว 18.4% จนซื้อขายบน PE65-66 ต่ำเพียงราว 27.6 และ 24.7 เท่า ซึ่งน้อยกว่า PER Band ย้อนหลัง 3 ปีของช่วงก่อน COVID ที่ซื้อขายราว 34 เท่า เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 17.2 บาท (DCF, WACC 9%) เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มกำไรได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในงวด 2Q65 ไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเห็นแนวโน้มกำไรเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ในช่วง 2H65
ยังคงยืนยันภาพกำไรผ่านพ้นจุดต่ำสุดในงวด 2Q65 ไปแล้ว
ข้อมูลสำคัญที่ประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ยังคงยืนยันภาพแนวโน้มกำไรที่คาดว่าผ่านจุดต่ำสุดในงวด 2Q65 ไปแล้ว
1) รายได้รวมที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจาก
- การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือน ก.ค. ของ Homepro อยู่ที่ 16 18%YoY (ฟื้นตัวจากฐาน SSSG ที่ต่ำในช่วงเวลาเดียวของปีก่อน) เทียบกับ SSSG ในช่วง 2Q65 ที่ลดลง 1% และประเมินว่า SSSG จะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในงวด 4Q65 จากการเข้าสู่ช่วง High Season ของกลุ่มค้าปลีกฯ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุด ยอดขายสาขาเดิมในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่คาดว่าจะสูงขึ้น (คิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของรายได้รวม) จากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศที่สะดวกมากขึ้น (ยกเลิกระบบ Thailand Pass ในวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา)
- การเปิดสาขาใหม่ราว 2 สาขา (+2%YoY) ในงวด 3Q65 และ 4 สาขา (+4%YoY) ในงวด 4Q65 เทียบกับที่ไม่มีการเปิดสาขาใหม่เลยในงวด 2Q65 ที่ผ่านมา
- รายได้จากพื้นที่เช่าที่คาดว่าจะสูงขึ้น มาจากอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ที่คาดว่าจะกลับมาใกล้เคียงกับภาวะปกติ ในระดับมากกว่า 95% จากเดิม ในช่วง 2Q65 อยู่ที่ 90-95%
2) อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ที่ประเมินว่าจะทำได้ดีขึ้น จากสัดส่วนการขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ สัดส่วนกลุ่มสินค้า Private Brand ที่ตั้งเป้าหมายทั้งปีอยู่ที่ 20.5-21% จากเดิมในช่วง 2Q65 อยู่ที่ 20.5% คาดว่าจะสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Sale) ที่ประเมินว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าขนส่งและค่าไฟที่สูงขึ้น (มีสัดส่วนรวมกันราว 3% ของรายได้รวม)
คงคาดการณ์กำไรปี 2565-66 เติบโตเฉลี่ยปีละ 15.1%
ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2565-66 ไว้ตามเดิม (กำไรช่วง 1H65 มีสัดส่วน 47.2% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565) อยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท (+18.2%YoY) และ 7.2 พันล้าน บาท (+12.1%YoY) หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 15.1% ซึ่งถือว่าแนวโน้มกำไรของ HMPRO จะกลับมาสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID ได้ตั้งแต่ในปีนี้ แม้ฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐานไว้อย่างอนุรักษ์นิยม ทั้งการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ทั้งปีอยู่ที่ราว 3.5% ในปี 2565 และ 3% ในปี 2566 รวมถึงรายได้จากพื้นที่เช่ายังมีส่วนลดเมื่อเทียบกับช่วงปกติ แต่อย่างไรก็ตาม HMPRO อาจมี Downside จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยมองว่ามีผลกระทบจำกัด เพราะค่าใช้จ่ายของเงินเดือนพนักงานล้วนเป็นกลุ่มคนที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว มีเพียงพนักงานกลุ่มส่วนน้อย (ค่าใช้จ่ายราว 1-2% ของรายได้รวม) ที่รับเงินเดือนตามค่าแรงขั้นต่ำ
ราคาหุ้นไม่สะท้อนแนวโน้มกำไรที่จะเติบโตในปีนี้ แนะนํา “ซื้อ”
ราคาหุ้นปัจจุบันที่ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่จุดสูงสุด (เม.ย. 65) ในระดับราว 18.4% จนซื้อ ขายบน PER’65,66 ต่ำเพียง 27.6 และ 24.7 เท่า ซึ่งน้อยกว่า PER Band เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีในช่วงเวลาก่อนเกิดวิกฤต COVID (2559-62) ที่ซื้อขายราว 34 เท่า ประกอบกับฝ่ายวิจัยมองว่าแนวโน้มกำไรของ HMPRO ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในงวด 2Q65 ที่เป็นช่วง Low Season ไปแล้ว (ช่วงฤดูฝนส่งผลให้ปริมาณงานตกแต่ง/ปรับปรุงบ้าน น้อยกว่าช่วงปกติ) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นแนวโน้มกำไรที่กลับมาเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลักๆ มาจากฐานกำไรที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (ผลกระทบวิกฤต COVID) รวมถึงแผนการเปิดสาขาใหม่และประสิทธิภาพกำไรที่ดีขึ้น ฝ่ายวิจัยจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 17.2 บาท (DCF, WACC 9%)
ประเด็นความเสี่ยง
1) เศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
2) การแข่งขันที่สูงในอุตสหกรรม
3) การแย่งลูกค้ากันเองของสาขาที่เปิดบริเวณใกล้เคียงกัน
HMPRO แนะนำ ซื้อ
ราคาปัจจุบัน (บาท) 13.3
ราคาเป้าหมาย (บาท) 17.2
Upside (%) 27.4
Dividend yield (%) 3.0