บล.พาย:

PTTGC: บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล “ธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนแอ หักลบค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น”

คงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 53.0 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันดูเหมือนสะท้อนทิศทางกำไรที่อ่อนแอใน 2Q22 และปัจจัยเสี่ยงที่รัฐบาลอาจออกนโยบายเก็บกำไรลาภลอยจากการกลั่นเข้ากองทุนน้ำมันไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดการเข้าแทรกแซง เพราะทิศทางค่าการกลั่นจะกลับสู่ระดับปกติตั้งแต่ 3Q22 เป็นต้นไป ขณะที่เล็งเห็นทิศทางราคาหุ้นที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นหลังผลประกอบการ 2Q22 สืบเนื่องจากภาพรวม 3Q22 ที่ดีขึ้นจากผลขาดทุนป้องกันความเสี่ยงที่ลดลง และส่วนแบ่งที่สูงขึ้นจากกลุ่มโอเลฟินส์ แต่ภาพรวมระยะยาว (2H22 ถึงปี 2023) ยังอ่อนแอ สืบเนื่องจากส่วนต่างราคาโอเลฟินส์ที่จะเผชิญกับแรงกดดันจากกำลังการผลิตส่วนเพิ่มอีก +16 ล้านตันในปี 2022-23

ขาดทุนป้องกันความเสี่ยงจะฉุดกำไร 2Q22

  • คาดกำไร 2Q22 ลดลงแตะจุดต่ำรายไตรมาสใหม่ที่ 1.5 พันล้านบาท (-94% YoY, -64% QoQ) การปรับลดลง YoY เป็นผลจากการขาดหายไปของกำไรพิเศษครั้งเดียวจำนวน 1.77 หมื่นล้านบาทใน 2Q21 จากการขายหุ้น 12.7% ใน GPSC ส่วนที่ลดลง QoQ เป็นผลจากขาดทุนป้องกันความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็น 1.25 หมื่นล้านบาท (+45% QoQ) สืบเนื่องจากราคาดีเซลที่สูงขึ้น และอัตราการดำเนินงานในโรงผลิตโอเลฟินส์ที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุง
  • ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงกลั่น ด้วยค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นเป็น US$21/bbl (เพิ่ม 10 เท่า YoY, 3 เท่า QoQ) สืบเนื่องจากส่วนต่างราคาดีเซลระดับสูง จะถูกหักลบโดยกลุ่มโอเลฟินส์ที่อ่อนแอ สืบเนื่องจากอัตราการดำเนินงานที่ลดลงเหลือ 75% จาก 85% ใน 1Q22 อันเป็นผลจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน โดยคาดว่าส่วนแบ่งจากกลุ่มวัสดุสมรรถนะสูงจะลดลง จากส่วนต่างราคาฟีนอลและ BPA ที่ลดลง 38% และ 23% QoQ ตามลำดับ

ภาพรวมดีขึ้นใน 3Q22

  • เล็งเห็นทิศทางกำไรที่ฟื้นตัวขึ้นใน 3Q22 จาก 1) ขาดทุนป้องกันความเสี่ยงที่ลดลง และ 2) ส่วนแบ่งธุรกิจโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ที่ดีขึ้น แม้บริษัทจะมีสถานะป้องกันความเสี่ยงเท่าๆ เดิมใน 3Q22 แต่ส่วนต่างราคาดีเซลที่ลดลงมาต่ำกว่า US$30bbl (ลดเหลือ US$29/bbl ใน เดือน ส.ค.) น่าจะทำให้มีกำไรสุทธิจากการป้องกันความเสี่ยง ยิ่งกว่านั้น อัตราการดำเนินงานในโรงแคร็กเกอร์ที่เพิ่มขึ้นหลังผ่านช่วงการปิดซ่อมบำรุงก็คาดว่าจะช่วยหนุนให้กลุ่มโอเลฟินส์มีส่วนแบ่งที่ดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทไม่มีแผนการปิดซ่อมบำรุงที่สำคัญใน 3Q22

คงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 53.0 บาท

มูลค่าพื้นฐาน 53.0 บาท อิง 0.7xPBV’23E คิดเป็นค่าเฉลี่ย 5 ปี มูลค่าดังกล่าวสะท้อนภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนแอในปี 2022-23 แล้ว

คาดกำไรสุทธิ 2Q22 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ

คาดกำไรสุทธิ 2022 ลดลงแตะจุดต่ำรายไตรมาสใหม่ที่ 1.5 พันล้านบาท (-94% YoY, -64% QoQ)

  • การปรับลดลง YoY เป็นผลจากการขาดหายไปของกำไรพิเศษครั้งเดียวจำนวน 1.77 หมื่นล้านบาทใน 2Q21 จากการขายหุ้น 12.7% ใน GPSC ส่วนที่ลดลง QoQ เป็นผลจากขาดทุนป้องกันความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็น 1.25 หมื่นล้านบาท (+45% QoQ) สืบเนื่องจากราคาดีเซลที่สูงขึ้น และอัตราการดำเนินงานในโรงผลิตโอเลฟินส์ที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุง
  • ธุรกิจโอเลฟินส์และอนุพันธ์ (48% ของ EBITDA) คาดว่าส่วนแบ่งจากธุรกิจนี้จะลดลง QoQ จากอัตราการดำเนินงานที่ลดลงเหลือ 75% เทียบกับ 85% ใน 1Q22 ถูกฉุดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงแคร็กเกอร์เป็นเวลา 30 วัน ขณะที่ส่วนต่างราคา HDPE-LDPE เพิ่มขึ้น 3% QoQ ใน 2Q22
  • ธุรกิจวัสดุสมรรถนะสูงและเคมีภัณฑ์ (32% ของ EBITDA) คาดว่าการที่ส่วนต่างราคาฟีนอลและ BPA ลดลง 38% และ 23% QoQ ตามลำดับ จะฉุดส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มนี้ลง
  • ธุรกิจอะโรเมติกส์ (12% ของ EBITDA) คาดว่าส่วนแบ่งจากธุรกิจนี้จะปรับดีขึ้น QoQ หลังจากส่วนต่างราคา PX และ BZ เพิ่มขึ้น 32% และ 23% ตามลำดับ แต่การปิดซ่อมบำรุง 30 วัน จะฉุดอัตราการดำเนินงานลงเป็น 80% จาก 100% ใน 1Q22
  • ธุรกิจโรงกลั่น (3% ของ EBITDA) คาดกำไรจะปรับดีขึ้นจากค่าการกลั่นตลาดที่พุ่งขึ้นเป็น US$21/bbl จาก US$7.6/bbl ใน 1Q22 หลังจากส่วนต่างราคาดีเซลปรับเพิ่มขึ้น +120% QoQ เป็น US$43/bbl คาดบริษัทจะรับรู้กำไรสต็อกน้ำมัน 2.0 พันล้านบาทใน 2Q22 (-59% QoQ) หลังจากราคาน้ำมันดิบดูไบอ้างอิงเพิ่มขึ้น +12% QoQ เป็น US$108/bbl

Revenue breakdown

โอเลฟินส์ คิดเป็น 48% ของ EBITDA ทั้งหมดของบริษัท โดยบริษัทมีโรงงานโอเลฟินส์ทั้งหมด 4 แห่ง (2.9 MTA) และมีกำลังการผลิตโพลีเมอร์อยู่ที่ 3.3 MTA

โรงกลั่น (คิดเป็น 3% ของ EBITDA ทั้งหมด) ธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับการกลั่นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและการจำหน่ายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ โรงกลั่นของบริษัทมีกำลังการผลิต 145KBD (ไม่รวมเครื่องแยกคอนเดนเสท 135KBD)

บริษัทผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจส่วนนี้ คิดเป็น 12% ของ EBITDA ทั้งหมด

กลุ่มเคมีภัณฑ์สมรรถนะสูง เป็นส่วนประกอบหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมพลาสติกวิศวกรรม ส่วนนี้คิดเป็น 32% ของ EBITDA ทั้งหมด

ส่วนสุดท้าย เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (คิดเป็น 3% ของ EBITDA ทั้งหมด) เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมี

- Advertisement -