NER ประกาศผลงานงวดครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิกว่า 851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.68% รับอานิสงส์ราคายางมีทิศทางที่ดี รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุนการขายได้ดี พร้อมสั่งแจกปันผลระหว่างกาลทันทีที่ 0.07 บาท/หุ้น ด้านแผนธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี เดินหน้ามุ่งเน้นและพัฒนาการเติบโตสินค้าต้นน้ำและปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนรองนอนปศุสัตว์ หลังเครื่องจักรที่สั่งนำเข้ามาถึงบริษัทเรียบร้อยแล้ว คาดติดตั้งแล้วเสร็จ พร้อมสามารถรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/65 ขณะที่รายได้รวมปีนี้ มั่นใจโตตามเป้าที่ระดับ 2.8 หมื่นล้านบาท

 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 851.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.75 ล้านบาท คิดเป้นการเติบโต 5.68% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของก่อน เนื่องจากสถานการณ์ราคายางในไตรมาส 2/65 มีทิศทางที่ดี บริษัทสามารถจัดการต้นทุนขายได้ดี รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนจัดจำหน่าย และมีป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น

ด้านรายได้จากการขายรวม สำหรับงวด 6 เดือนแรก บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,864.82 ล้านบาท ลดลง 387.82 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศจีน และค่าใช้จ่ายค่าระวางเรือที่สูงขึ้น บริษัทจึงปรับสัดส่วนยอดขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเทศมากขึ้น เพื่อรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรไว้

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาท กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 7 กันยายน 2565 รวมเป็นเงิน 129.34 ล้านบาท สำหรับวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) คือวันที่ 23 สิงหาคม 2565 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 24 สิงหาคม 2565

สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท จากกำลังการผลิตที่ 4.6  แสนตัน เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับผลดีจากราคายางพาราที่ปรับขึ้น เฉลี่ยที่ 60-65 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้จะเพิ่มกำลังผลิตอีก 5 หมื่นตัน เป็น 5.1 แสนตันต่อปี จากเดิมที่ 4.6 แสนตัน คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 4/65 ขณะที่ล่าสุดบริษัทมีเซ็นสัญญาเพิ่มลูกค้าใหม่จากประเทศอินเดีย 4 ราย โดยวางเป้าลูกค้าประเทศอินเดีย 10-15% ในปี 2566 หรือประมาณ 7 หมื่นตันต่อปี ลูกค้าประเทศจีนอยู่ที่ 60% โดยเป็นลูกค้าจีนที่มีโรงงานอยู่ในประเทศ และต่างประเทศ ส่วนที่เหลือจะเป็นลูกค้าประเทศญี่ปุ่นและสิงค์โปร เป็นต้น

ขณะที่แนวโน้มราคายาง ยังคงได้รับปัจจัยการสนับสนุนจากราคาตลาดล่วงหน้าต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่า รายได้จากยางพาราจะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มกำลังผลิตรถยนต์ EV ในประเทศจีน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพารามากที่สุดประมาณ 50% ของปริมาณยาง จะมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด  รวมทั้งการส่งเสริมการใช้พลังงานใหม่ในรถบรรทุกจะเพิ่มขึ้น

ส่วนธุรกิจแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ ขณะนี้เครื่องจักรที่สั่งมาจากไต้หวันได้เข้ามาถึงบริษัทเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จ พร้อมสามารถรับรู้รายได้ไตรมาส 3/65 สำหรับสัดส่วนการจําหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 10 ต่อ 90 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น อินโดนีเชีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มทยอยขายแผ่นปูรองนอนวัวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แล้ว โดยเป็นการจ้างบริษัทภายนอก (OEM) ผลิตไปก่อน เพื่อทดลองตลาดในประเทศ  โดยขายในปริมาณไม่มาก และจะเริ่มผลิตสินค้าสำหรับส่งต่างประเทศในไตรมาส 4/65

*********

- Advertisement -