บล.เอเซีย พลัส:

กําไร 2Q65 ลดลงชั่วคราวจะฟื้นตัวใน 2H65

กำไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 382 ล้านบาท ใกล้เคียงคาด ลดลง 19% qoq และ 13% yoy จากปริมาณขายยางพาราลดลงชั่วคราว ผลกระทบจากการ lock down ในจีน ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิจะกลับมาเติบโตในงวด 3Q65 จากแนวโน้มปริมาณขายยางพาราเติบโตตามฤดูกาล

คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 2% yoy จากแนวโน้มปริมาณขายยางพาราและทิศทางราคายางพาราปรับเพิ่มขึ้น  สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับความคืบหน้าธุรกิจแผ่นปูนอนปศุสัตว์ คาดว่าจะเริ่มผลิตและขายได้ในก.ย. 65 ซึ่ง NER ได้มีการทำการตลาดและมีลูกค้ารองรับไว้แล้ว กำหนด FV ปี 2565 เท่ากับ 10.20 บาท โดย NER ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.07 บาท/หุ้น คิดเป็น Div yield สำหรับงวด 1H65 ที่ 1.2% ขึ้น XD วันที่ 23 ส.ค. 65 และจ่ายปันผลวันที่ 7 ก.ย. 65 ขณะราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER เพียง 5 เท่า จึงยังแนะนำซื้อ

กําไรสุทธิ 2Q65 ปรับลดลงปริมาณขายยางลดลงชั่วคราว

กำไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 382 ล้านบาท ใกล้เคียงคาด ลดลง 18.5% qoq และ 12.9% yoy โดย NER บันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษสุทธิเข้ามา 42 ล้านบาท แบ่งเป็นขาดทุนจาก FX 63 ล้านบาท และรายได้จากภาษีเงินได้ 21 ล้านบาท

ขณะที่กำไรก่อนภาษีงวด 2Q65 เท่ากับ 424 ล้านบาท ลดลง 9.2% qoq และ 8.7% yoy มีปัจจัยกดดันจาก

1) รายได้รวมงวด 2Q65 เท่ากับ 5.3 พันล้านบาท ลดลง 5.7% qoq และ 16.2% yoy จากปริมาณขายยางพาราลดลง 8.3% qoq และ 23.9% yoy มาที่ 8.8 หมื่นตัน ผลกระทบจากการ lock down ในจีน และปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน กดดันปริมาณการขายยางพาราชั่วคราว ทำให้ NER หันมาเน้นขายยางพาราในไทยมากขึ้น แทน ทำให้สัดส่วนการขายยางพาราในไทยต่อส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 82%:18% ในงวด 2Q65 เทียบกับ 62%:38% ในปี 2564 ขณะที่ราคาขายยางพาราเฉลี่ยงวด 2Q65 อยู่ที่ 59.6 บาท/กก.เพิ่มขึ้น 2.8% qoq และ 10.2% yoy

2) Gross margin งวด 2Q65 ปรับลดลงมาที่ 11.7% จาก 13.8% ในงวดก่อน ผลกระทบจากราคาวัตถุดิบยางพาราปรับสูงขึ้นบ้าง และปริมาณขายยางพาราในงวด 2Q65 ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูงขึ้น

3) สัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/Sales งวด 2Q65 ปรับลดลงมาที่ 1.9% จาก 3.7% ในงวดก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการส่งออกลดลง เพราะ NER เน้นขายยางพาราในไทยมากขึ้นในงวด 2Q65 ข้างต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งและค่าสงเคราะห์ (ค่าใช้จ่ายในการส่งออกยางพารา) ลดลงจากงวด 1Q65

โดยรวมแล้ว กำไรสุทธิงวด 1H65 เท่ากับ 851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% yoy และคิดเป็น 45% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ ขณะที่กำไรปกติงวด 1H65 เท่ากับ 883 ล้านบาท ลดลง 1.3% yoy คิดเป็น 47% ของประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้

ทิศทางกำไรสุทธิจะเร่งตัวขึ้นในงวด 2H65

คงประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 2.2% yoy จากแนวโน้มปริมาณขาย ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดกำไรสุทธิงวด 3Q65 จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากแนวโน้มยางพาราและทิศทางราคายางพาราปรับเพิ่มขึ้น  สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ปริมาณขายยางพาราเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล นอกจากนี้ ยังคาด gross margin งวด 3Q65 จะปรับเพิ่มขึ้นจากงวด 2Q65 จากการประหยัดต่อขนาด และผลบวกจากทิศทางค่าเงินบาท เฉลียงวด 3Q65 อ่อนค่าลงจากงวด 2Q65

สำหรับความคืบหน้าธุรกิจแผ่นปูนอนปศุสัตว์ ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนส.ค. 65 และจะเริ่มทดลองการผลิตและขายให้ลูกค้าภายนอก ในก.ย. 65 ซึ่ง NER ได้มีการทำการตลาดและมีลูกค้ารองรับไว้แล้ว โดยฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมธุรกิจดังกล่าวไว้ในประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-66

แนะนําซื้อรับ DIV YIELDS กว่า 7%

กำหนด FV ปี 2565 เท่ากับ 10.20 บาท อิง PER 10 เท่า โดย NER ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.07 บาท/หุ้น คิดเป็น Div yield สำหรับงวด 1H65 ที่ 1.2% ขึ้น XD วันที่ 23 ส.ค. 65 และจ่ายปันผลวันที่ 7 ก.ย. 65 ขณะราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER เพียง 5 เท่า จึงยังแนะนำซื้อ

การทำธุรกิจโดยให้ความสำคัญต่อ ESG

NER ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจแบบยั่งยืน และ ESG โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

Environmental: ใช้ไฟฟ้าพลังงานทดแทนภายในโรงงาน ซื้อวัตถุดิบยางพาราที่ไม่รุกป่า

Social: ส่งเสริมสร้างงานในชุมชน ใช้แรงงานถูกกฎหมายและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน

Governance: การกำกับดูแลกิจการที่ดี ต่อต้านคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ

ประเด็นความเสี่ยง

  1. ความผันผวนของราคายางพารา
  1. ความผันผวนของ Gross margin
  1. ความผันผวนของค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จะกดดันแนวโน้มกำไรสุทธิของ NER 

NER แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 5.85

ราคาเป้าหมาย (บาท) 10.20

Upside (%) 74.4

Dividend yield (%) 7.5

- Advertisement -