บล.เอเซีย พลัส:

2Q65 กำาไรปกติโต QOQ คาดยังดีต่อเนื่องใน 3Q65

BCPG รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q65 ลดลง 75.8%qoq มาอยู่ที่ 330.2 ล้านบาท กดดันจากรายการพิเศษที่บันทึกกลับเป็นผลขาดทุน 218.8 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กำไรปกติเพิ่มขึ้น 6.2%qoq หนุนหลักจากการรับรู้โรงไฟฟ้า solar ญี่ปุ่น 2 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวที่ผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น แม้จะไม่มีการรับรู้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในงวดนี้ก็ตาม ช่วงสั้น 3Q65 คาดกำไรปกติยังเติบโต QoQ หนุนจากการเข้าสู่ช่วง High season ของน้ำและลมในไทยและต่างประเทศ

ประเมิน FV ปี 65 ใหม่อยู่ที่ 13.0 บาท/หุ้น (เดิม 15.0) โดยเพิ่ม wacc เป็น 5.1% จาก 4.4% ตามความเสี่ยงของตลาดที่มีความผันผวนมากขึ้นเมื่อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาหุ้นปรับฐานลงแล้วระดับหนึ่งจนเห็น upside ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ยังไม่รวมมูลค่าโครงการ solar ไต้หวันที่คาดจะเริ่มเซ็น PPA และทยอย COD เข้ามา ชดเชยรายได้ Adder ที่จะทยอยหมดในช่วง 1-2 ปีนี้ได้เป็นส่วนใหญ่ ช่วงสั้นยังคงคำแนะนำซื้อ โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว

2Q65 กำไรสุทธิลดลง แต่กำไรปกติยังเติบโต QoQ

BCPG รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 330.2 ล้านบาท ลดลง 75.8%qoq กดดันหลักจากรายการพิเศษที่สุทธิแล้วบันทึกกลับเป็นผลขาดทุน 218.8 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) ขาดทุน Fx 113.5 ล้านบาท 2) ค่าใช้จ่ายภาษีที่เกี่ยวข้องกับขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 9.2 ล้านบาท 3) รายการพิเศษอื่นๆ ที่เป็นค่าใช้จ่ายรวม 96.2 ล้านบาท เทียบกับงวด 1Q65 ที่บันทีกเป็นกําไร 846.3 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) ขาดทุน FX 153.6 ล้านบาท 2) กำไรจากการขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ประเทศอินโดนีเซีย 1.6 พันล้านบาท 3) ขาดทุนจากการจำหน่ายและการด้อยค่าสินทรัพย์ 628.7 ล้านบาท 4) รายได้ภาษีที่เกี่ยวข้องกับกำไร/ขาดทุนจากรายการพิเศษ 13.3 ล้านบาท 5) รายการพิเศษอื่นๆ ที่เป็นค่าใช้จ่าย 29.3 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากตัดรายการพิเศษ และพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติ พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.2%qoq มาอยู่ที่ 549.0 ล้านบาท หนุนจากรายได้ขายไฟฟ้า โดยรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.0%qoq มาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากมีการรับรู้โครงการ Komagane ประเทศญี่ปุ่น 25 MWe (COD 29 มี.ค. 2565) ได้เต็มไตรมาส และโครงการ Yabuki ประเทศญี่ปุ่น 20 MWe (COD 15 เม.ย. 2565) ได้ในไตรมาสแรก อีกทั้ง โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Nam San 3A-3B ในประเทศลาว มีผลประกอบการดีขึ้นตามการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝนในช่วงปลาย 2Q65 รวมถึงโรงไฟฟ้า Solar ในประเทศไทยมีปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามค่าความเข้มแสงที่สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน และการ COD โครงการโซลาร์แบบติดตั้งบนหลังคาของโครงการ CMU เพิ่มเติมอีก 1.3 MWe รวมทั้งการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (ft) ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นจากงวดก่อนหน้า ถึงแม้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะมีรายได้ลดลงจากกระแสลมที่อ่อนตัวตามปัจจัยฤดูกาลก็ตาม ส่งผลให้กำไรขั้นต้นในงวดนี้เพิ่มขึ้น 26.5%qoq มาอยู่ที่ 933.0 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้น (GPM)

แต่อย่างไรก็ตาม มีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 8.7 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่บันทึกเป็นกำไร 141.7 ล้านบาท เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์เข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาล อีกทั้งไม่มีการรับรู้รายได้จากการปรับค่าไฟฟ้าย้อนหลัง ดังที่เคยเกิดขึ้นใน 1Q65 และไม่มีการรับรู้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ประเทศอินโดนีเซีย หลังจากดำเนินการขายหุ้นโครงการแล้วเสร็จตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 2565 นอกจากนี้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 12.3%qoq มาอยู่ที่ 231.3 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในท้องตลาด

โดยรวมแล้วกำไรปกติ 1H65 คิดเป็น 51.9% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้

คงประมาณการกำาไรปี 65 ช่วงสั้น 3Q65 คาดกําไรยังโตต่อเนื่อง QoQ

ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติปี 2565 อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ปรับตัวลดลง 10.2%yoy จาก Adder โครงการ BCPG1 กำลังการผลิต 8.0 MWe ที่หมดอายุลงเต็มปี และ BCPG2 กำลังการผลิต 30.0 MWe ที่จะหมดอายุลงในเดือน ก.ค. 2565 รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ 3 ประเทศอินโดนีเซีย กำลังการผลิตรวม 273.3 MWe มีการรับรู้กำไรเพียง 2 เดือนหลังจากขายโครงการดังกล่าวออกไปเมื่อ 3 มี.ค. 2565

ทั้งนี้ ในช่วงสั้น 3Q65 คาดทิศทางกำไรปกติจะเห็นการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง QoQ หนุนหลักจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลของกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว และการรับรู้โครงการ Yabuki 20 MWe (COD 15 เม.ย. 2565) ได้เต็มไตรมาสในครั้งแรก รวมถึงแรงหนุนบางส่วนจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลลมในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ ถึงแม้ว่ากลุ่มโครงไฟฟ้า Solar จะผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงตามค่าความเข้มแสงที่เริ่มอ่อนตัว และโครงการ BCPG2 กำลังการผลิต 30.0 MWe จะมี Adder หมดลงในเดือน ก.ค. 2565 ก็ตาม

ประเมิน FV ใหม่ อยู่ที่ 13.0 บาท/หุ้นช่วงสั้นยังคงคําแนะนําซื้อ

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2565 อยู่ที่ 13.0 บาท/หุ้น (เดิม 15.0 บาท/หุ้น) โดยปรับเพิ่มสมมติฐาน WACC ที่ใช้ในการประเมินมูลค่าพื้นฐานมาอยู่ที่ 5.1% จากเดิม 4.4% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของตลาดและภาคอุตสาหกรรมในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความฝันผวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ยังไม่รวมมูลค่าโครงการ solar ไต้หวันที่คาดจะเริ่มเซ็น PPA และทยอย COD เข้ามาชดเชยรายได้ Adder ที่จะทยอยหมดในช่วง 1-2 ปีนี้ได้เป็นส่วนใหญ่ ช่วงสั้น ยังคงคำแนะนำซื้อ โดยเน้นหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว

BCPG แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 10.60

ราคาเป้าหมาย (บาท) 13.00

Upside (%) 22.6

Dividend yield (%) 4.6

- Advertisement -