บล.เอเซีย พลัส:

แนวโน้มกำไรปกติ 2H65 อ่อนตัว เน้นรับปันผลสม่ำเสมอ

กำไรสุทธิ 2Q65 ลดลง 67.0%qoq มาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ดีกว่าคาดเล็กน้อย ถูกกดดันหลักจากค่าใช้จ่ายพิเศษขาดทุนจาก hedging ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรปกติโดดเด่นเพิ่มขึ้น 119.8%qoq มาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท รับอานิสงค์หลักมาจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น แม้จะมี shutdown โรงงานโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ สำหรับแนวโน้มกำไรปกติ 3Q65 คาดจะปรับตัวลดลง QoQ ตามแนวโน้มค่าการกลั่นที่ลดลงในปัจจุบัน และ 4Q65 คาดจะลดลงต่อ QoQ จากแผน shutdown โรงกลั่น 50 วัน แต่ยังหวังปิโตรเคมีฟื้นตัวมาช่วย

คงมูลค่าพื้นฐานไว้ที่ 61 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับฐานแล้วระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นที่โดดเด่น จึงแนะนำค่อยๆ หาจังหวะซื้อรับปันผล โดยคาด Dividend Yield ต่อปี อยู่ในระดับที่ดีกว่า 6.5%

กําไรสุทธิ 2Q65 ลดลงมีนัยฯ QOQ เพราะ HEDGING LOSS สูง แต่ NORM PROFIT ดีขึ้นมากจากค่าการกลั่น

PTTGC รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q65 ลดลง 67.0%qoq มาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยกำไรสุทธิในงวดนี้ถูกกดดันหลักจากรายการพิเศษที่สุทธิแล้วเป็นค่าใช้พิเศษสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดก่อนหน้าที่สุทธิแล้วเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษอยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท หลักๆ เป็นผลมาจากบันทึกขาดทุนจาก hedging ในงวด 2Q65 ที่อยู่สูง ถึง 1.3 หมื่นล้านบาท จาก 8.6 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า (แบ่งเป็น realized 1.2 หมื่นล้านบาท และ unrealized 1.1 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าทำ Crack spread hedging ในสัดส่วนถึง 60% ของปริมาณขายทั้งปี 65 (ราว 55 ล้านบาร์เรลต่อปี แบ่งเป็น 4 ไตรมาสๆ ละเท่ากัน) อีกทั้งมีการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน และอะโรเมติกส์ รวม NRV ลดลงเหลือ 3.1 จาก 4.9 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า รวมถึงบันทึกกลับเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าราว 2 บาทต่อเหรียญฯ รวม 4.4 พันล้านบาท เทียบกับงวดก่อนหน้าที่บันทึกเป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 595 ล้านบาท

แต่หากตัดรายการพิเศษพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติในงวด 2Q65 พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 119.8%qoq มาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท รับอานิสงค์หลักมาจากธุรกิจโรงกลั่นที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่น โดยมี Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท จาก 3.3 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า ตาม Market GRM ของ PTTGC ในงวด 2Q65 ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 21.1 จาก 7.6 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า รับผลบวกจากมาตรการของหลายประเทศในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ spread ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะก๊าซออยล์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัยฯ ขณะที่ Utilization rate ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 98% จาก 101% ในงวดก่อนหน้า เนื่องจากยังเดินเครื่องปกติไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุง

นอกจากนี้ยังได้รับผลบวกจากธุรกิจอะโรเมติกส์ที่คาดจะมี Adjusted EBITDA กลับมาเป็นกำไรอยู่ที่ 673 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่เป็นขาดทุน 1.1 พันล้านบาท ตาม spread ผลิตภัณฑ์หลักทั้งพาราไซลีน และเบนซีน (สัดส่วน 40%) และ by product (สัดส่วน 60%) โดยเฉพาะคอนเดนเสทเรทซิคิว รวมถึง LPG และ Light Naptha ที่ราคาปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน ถึงแม้อัตราการเดินเครื่องโรงงานอะโรเมติกส์จะลดลงมาอยู่ราว 80% จาก 100% ในงวดก่อน จากแผน shutdown โรงงาน Aro1 กำลังการผลิตราว 1.1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 30 วัน รวมถึงมีบางช่วงเวลาที่มีการขายตรง feedstock Reformate ไม่ในไปผลิต PX, Bz เพราะได้ margin ดีกว่า ทำให้โดยรวมแล้ว Market P2F ในงวด 2Q65 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 117 จาก 48 เหรียญฯต่อตัน ในงวดก่อนหน้า

ส่วนธุรกิจหลักโอเลฟินส์ในงวด 2Q65 พบว่า Adjusted EBITDA ลดลงมาอยู่ที่ 4.5 จาก 4.8 พันล้านบาท ถูกกดดันหลักแผน shutdown โรงงาน Ole3 กำลังการผลิต 1 ล้านตัน เป็นระยะเวลา 39 วัน และโรงงานโพลีเมอร์ LLDPE, LDPE และ Polystyrene เป็น ระยะเวลา 20, 24 และ 15 วัน ตามลำดับ ส่งผลให้ Utilization rate ของโรงงานโอเลฟินส์ ลดลงมาอยู่ที่ 75% จาก 85% ในงวดก่อนหน้า และ Utilization rate ของโรงงานโพลีเมอร์ ลดลงมาอยู่ที่ 90% จาก 106% ในงวดก่อนหน้า ขณะที่ spread ผลิตภัณฑ์โดยรวมทรงตัวจากงวดก่อนหน้า รับผลกระทบจากการ lockdown ในจีนจากโควิดอีกระลอก ทำให้ความต้องการใช้ชะลอตัว ประกอบกับการหยุดเดินเครื่องโรงงาน Ole3 ซึ่งเป็น Gas cracker ทำให้ต้องเดินเครื่องหน่วย ORP ซึ่งเป็น naptha cracker เพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วนการใช้ naptha เป็นวัตถุดิบในงวดนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28% ส่วนที่เหลืออีก 72% ใช้ก๊าซฯ เป็นวัตถุดิบ  ทำให้โดยรวมแล้ว EBITDA Margin ของธุรกิจโอเลฟินส์ในงวด 2Q65 ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 9% จาก 11% ในงวดก่อนหน้า

เช่นเดียวกับธุรกิจ Performance Chemical ที่ในงวด 2Q65 พบว่า Adjusted EBITDA ลดลงมาอยู่ที่ 4.6 จาก 6.3 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า กดดันจากการปรับตัวลดลงของ spread phenol และ BPA ราว 186 และ 226 เหรียญฯ ต่อตัน มาอยู่ราว 294 และ 627 เหรียญฯ ต่อตัน ตามลำดับ เนื่องจากราคาวัตถุดิบเบนซีนปรับตัวขึ้น ขณะที่ผลประกอบการของ Altnex ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า

โดยรวมแล้วกำไรจากการดำเนินงานปกติ และกำไรสุทธิงวด 1H65 อยู่ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท และ 5.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7%yoy และลดลง 83.9%yoy ตามลำดับ

แนวโน้มกำไร 3Q65 ลดลง QoQ และ 4Q65 จะลดลงต่อ

เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2565 โดยยังไม่รวมรายการพิเศษที่จะเกิดขึ้นในช่วง 2H65 ในประมาณการ ทั้งนี้คาดการณ์ทิศทางกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 3Q65 จะปรับตัวลดลงจากงวด 2Q65 กดดันหลักจากธุรกิจโรงกลั่น ที่คาดค่าการกลั่นมีแนวโน้มปรับตัวลดลงหลังจาก demand และ supply เริ่มค่อยๆ ปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น อีกทั้งตลาดโดยรวมของโลกให้น้ำหนักไปที่ความกังวลในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะกดดันความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้ปรับตัวลดลง ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์คาดจะทรงตัวใกล้เคียงกับงวดที่ผ่านมา ยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาขับเคลื่อนให้โดดเด่นได้ เพราะด้านความต้องการใช้ยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจโดยรวมของโลก และด้าน supply ยังคงมี supply ใหม่ๆ ทยอยเข้าสู่ตลาด และหากมองข้ามไปในงวด 4Q65 คาดแนวโน้มกำไรจะปรับตัวลดลงจากงวด 3Q65 ถูกกดดันหลักจากแผนหยุดซ่อมโรงกลั่น major shutdown (2 ปี/ครั้ง) เป็นระยะเวลา 50 วัน (เดือน พ.ย.-ธ.ค.65) และโรงงาน HDPE 30 วัน

ESG

Environment : มีนโยบายควบคุมและป้องกันสิ่งแวดล้อง รวมถึงศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในมิติต่างๆ และมุ่งบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด

Social : ส่งเสริมและพัฒนาสังคมและชุมชนรอบข้างผ่านการสร้างความสัมพันธ์ และการมีส่วนร่วมกับหลายภาคส่วน รวมถึงการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและความเชี่ยวชาญในการดำเนินโครงการต่างๆ

Governance : กำหนดนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อให้ทุกฝ่ายยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นสากลทั้งในประเทศและต่างประเทศ

PTTGC แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 46.50

ราคาเป้าหมาย (บาท) 61.00

Upside (%) 31.1

Dividend yield (%) 6.5

- Advertisement -