บล.เอเซีย พลัส: 

2H65 จะพลิกมีกำไร + ปันผลระดับ 7%

2Q65 ขาดทุนสุทธิ 14 ล้านบาท หากไม่รวมกำไรขายเงินลงทุน (หลังภาษี) 114 ล้านบาท มีขาดทุนปกติตามคาด 128 ล้านบาท สูงกว่างวดก่อนที่ขาดทุน 6.6 ล้านบาท และกำไรปกติ 302 ล้านบาทใน 2Q64 เหตุจากไม่มีโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จ ทำให้ยอดโอนฯ 559 ล้านบาท ลดลง 50% qoq และ 71% yoy รวมถึงทำแคมเปญ โครงการพร้อมอยู่และเปิดโครงการใหม่ กดดันต่อมาร์จิ้นและ SG&A/Sales สูงขึ้น 

ปรับกำไรปกติปี 2565 ลงจากเดิม 36% สะท้อนภาพ 1H65 อ่อนแอกว่าคาด โดยกำไรปีนี้อยู่ที่ 807 ล้านบาท คาดน้ำหนักของกำไรทั้งหมดจะเกิดขึ้น 2H65 หนุนจากการส่งมอบ 5 คอนโดฯ ใหม่ ซึ่งมีมาร์จิ้น 30-35% ย่อมผลักดัน 3Q65 พลิกมีกำไร และทำจุดสูงสุดของปีใน 4Q65 ด้าน Valuation ปรับเพิ่ม PER เป็น 8 เท่า เทียบเท่ากลุ่มฯ สะท้อนการฟื้นตัว 2H65 และปี 2566 พร้อมใช้ FV ปี 2566 ที่ 5.66 บาท มี upside 17.5% คาดเงินปันผลรอบปี 2565 ที่ 7% จึงปรับเพิ่มเป็น ซื้อ

2Q65 ขาดทุนเพิ่มขึ้น แต่เป็นจุดต่ำสุดของปี

งวด 2Q65 รายงานขาดทุนสุทธิ 14 ล้านบาท หากไม่รวมกำไรขายเงินลงทุนบริษัทย่อย (หลังภาษี) 114 ล้านบาท มีผลขาดทุนปกติตามคาด 128 ล้านบาท สูงกว่างวดก่อนที่ขาดทุน 6.6 ล้านบาท และกำไรปกติ 302 ล้านบาทงวด 2Q64 สาเหตุจากการขาดหายไปของโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จและส่งมอบ ขณะที่โครงการเดิมมีมูลค่าพร้อมโอนฯ มีไม่มาก ทำให้ยอดโอนฯ เหลือเพียง 559 ล้านบาท (-50% qoq-71% yoy) แบ่งเป็นคอนโดฯ 401 ล้านบาท และแนวราบ 158 ล้านบาท

ด้านประสิทธิภาพทำกำไร ผลจากการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และการเปิดโครงการใหม่จำนวนมากปีนี้ ทำให้ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร โดยเฉพาะในส่วนพนักงานเพิ่มตามแผนขยายธุรกิจ กดดันให้ Gross Margin ขายฯ ลงมาอยู่ที่ 23% (จาก 28.8% งวดก่อน และ 34.6% งวดปีก่อน) และ SG&A/Sales สูงขึ้นอยู่ที่ 34.8% (เทียบกับเฉลี่ย 23% งวด 1Q65&2Q64) กอปรกับรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม 50 ล้านบาท เพิ่มจากขาดทุน 9.8 ล้านบาท และ 4.5 ล้านบาทงวดก่อนและงวดปีก่อน ตามลำดับ ตามการเปิดโครงการร่วมทุนเพิ่ม ซึ่งช่วงแรกยังไม่มีรายได้เข้า แต่ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายจากโครงการใหม่ ภาพรวมจึงกดดัน 2Q65 ขาดทุนดังข้างต้น และถือเป็นจุดต่ำสุดของปี

สำหรับโครงสร้างการเงินสิ้น มิ.ย. 2565 มี Net Gearing ขยับขึ้นเป็น 2.1 เท่า จาก 1.7 เท่างวดก่อน เหตุจากภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้น เกิดจากการออกหุ้นกู้ ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงตามการดำเนินงานที่ขาดทุน แต่ระดับ Net Gearing ดังกล่าว ยังไม่เกินข้อกำหนด Debt Covenant ที่ 2.5 เท่า และมีแนวโน้มลดลงใน 2H65 ตามการฟื้นตัวของผลประกอบการ เบื้องต้นบริษัทคาด Net Gearing สิ้นปี 2565 จะต่ำกว่า 2 เท่า

ปรับลดกำใรปี 2565…..แต่ 2H65 จะพลิกมีกำไร

การดำเนินงาน 1H65 ที่มีผลขาดทุนปกติ 135 ล้านบาท และอ่อนแอกว่าคาด ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดกำาไรปกติปี 2565 ลงจากประมาณการเดิม 36% โดยหลักมาจากการปรับลดยอดโอนฯ ลงจากเดิม 14% เท่ากับ 9 พันล้านบาท (สิ้น 2Q65 มี Backlog รอรับรู้รายได้ 1H65 ราว 6.66 พันล้านบาท รองรับเป้าปีนี้ 92%) รวมถึงปรับลด Gross Margin ขายฯ ปีนี้ จากเดิม 33% อยู่ที่ 31.2% (1H65 เฉลี่ย 27% และคาด 2H65 ราว 32%) ทำให้กำไรปกติปีนี้อยู่ที่ 807 ล้านบาท หากรวมกำไรพิเศษใน 2Q65 จะมีกำไรสุทธิ 921 ล้านบาท

โดยน้ำหนักของกำไรปีนี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นใน 2H65 สนับสนุนด้วยการมีโครงการคอนโดฯ ใหม่ที่เตรียมสร้างเสร็จ และรับรู้รายได้จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 1.26 หมื่นล้านบาท และมียอดจองเฉลี่ย 56% (เทียบกับ 1H65 ไม่มีโครงการใหม่สร้างเสร็จ) แบ่งเป็น 2 โครงการที่จะเกิดขึ้นใน 3Q65 และอีก 3 โครงการใน 4Q65 ซึ่งโครงการใหม่มีมาร์จิ้นราว 30-35% ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อทั้งยอดโอนฯ และการทำกำไรตั้งแต่ 3Q65 และต่อเนื่องทำจุดสูงสุดของปีใน 4Q65

ปรับเพิ่มเป็น ชื้อธีมฟื้นตัว และปันผล 7% ต่อปี

ภายใต้ประมาณการใหม่ และปรับเพิ่ม PER จากเดิม 7 เท่า เป็น 8 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยฯ สะท้อนการฟื้นตัวชัดเจนใน 2H65 (คาดผลประกอบการ 3Q65-2Q66 เติบโต YoY) และต่อเนื่องปี 2566 พร้อมใช้ FV ปี 2566 อยู่ที่ 5.66 บาท ราคามี upside 17.5% นอกจากนี้ คาดหวังการพลิกมามีกำไร 2H65 จะนำไปสู่การจ่ายเงินปันผลทั้งปีระดับ 7% (อิง payout ratio 60%) จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ

ESG

Environment : ส่งเสริมให้มีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และมีแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยให้ความสำคัญกับการดำาเนินธุรกิจภายใต้ มาตรฐานสิ่งแวดล้อมกําหนดไว้อย่างเคร่งครัด

Social : ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น Noble ID เพื่อสานสัมพันธ์กับลูกค้า, ร่วมจัดทําโครงการเพื่อร่วมกันพัฒนาชุมชน และตอบแทนสังคม อย่างสม่ำเสมอ เช่น มอบสิ่งของและเงินสนับสนุนกิจกรรม

Governance : มีนโยบายปฏิบัติเพื่อสนองประโยชน์ร่วมกันทั้งบริษัท และผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอก โดยคณะกรรมการบริษัทได้ กำหนดนโยบาย และแนวทางปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน ซึ่งระบุในนโยบายการกำกับดูแลกิจการ และจรรยาบรรณธุรกิจ

ประเด็นความเสี่ยง

1.ตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ได้แก่ ความเชื่อมั่นต่อการสร้างรายได้ในอนาคตของผู้ซื้อ หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาด ก็จะกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนำมาสู่การชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

2.ระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรมรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้การควบคุมเรื่องประสิทธิภาพการทำกำไรทำได้ยากขึ้น

3.การทำธุรกิจในลักษณะร่วมทุน (JV) ทำให้การรับรู้ทางบัญชีอยู่ในรูปแบบส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุน ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อประมาณการกำไรให้มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้

NOBLE แนะนํา BUY

ราคาปัจจุบัน (บาท) 4.82

ราคาเป้า 2566 (บาท) 5.66

Upside (%) 17.50

Dividend yield (%) 8.8

- Advertisement -