บล.เอเซีย พลัส:
กําไร 2Q65 ตามคาดและจะหดตัวต่อในครึ่งหลัง
กำไรสุทธิงวด 2Q65 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท (-43.6%QoQ, -0.2%YoY) ตามคาด โดยกำไรที่อ่อนตัว QoQ มาจากทั้งรายได้รวมและ Gross Margin ที่น้อยลง ขณะที่ SG&A/Sale สูงขึ้น เนื่องจากการเริ่มหายไปของผู้ป่วย COVID ขณะที่การทรงตัว YoY หลักๆ มาจาก Gross Margin ที่หดตัวแรง จึงไปหักล้างรายได้การให้บริการที่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ฝ่ายวิจัยยังมองภาพแนวโน้มกำไรงวด 3Q65 จะอ่อนตัวทั้ง QoQ และ YoY รวมถึงประเมินกำไรในช่วง 2H65 จะด้อยกว่า 1H65 ตามสัดส่วนรายได้ COVID ที่เริ่มทยอยลดลง เพราะสถานการณ์ COVID ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2565-66 ไว้ที่ 4.3 พันล้านบาท (-36.5%YoY) และ 1.5 พันล้านบาท (64.8YoY) ตามลำดับ และยังคงคำแนะนำ “Switch” ไปที่ BDMS และ BH ที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตที่โดดเด่นกว่าในช่วง 1-2 ปีนี้
กำไรสุทธิ 2Q65 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท (−43.6%QoQ,-0.2%YoY)
กำไรสุทธิงวด 2Q65 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท (-43.6%QoQ, -0.2%YoY) ตามที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาด โดยกำไรสุทธิยังคงอ่อนตัวแรงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจาก
1) รายได้การให้บริการที่ลดลงอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท อ่อนตัว 22.1%QoQ เป็นผลจากรายได้ COVID ที่ปรับตัวลงเหลือ 3.1 พันล้านบาท ในงวด 2Q65 (56.0% ของรายได้รวม) จากเดิม 4.5 พันล้านบาท ในงวด 1Q65 (62.9% ของรายได้รวม) รวมถึงรายได้การให้บริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับ COVID ลดลงเช่นกันราว 7.6%QoQ เป็น 2.4 พันล้านบาท (44.0% ของรายได้รวม)
2) อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ทำได้ลดลงเหลือ 36.9% ในงวด 2Q65 จากเดิม 45.1% ในงวด 1Q65 มาจากผู้ป่วย COVID ที่เข้ามารักษามีอาการรุนแรงน้อยลง และส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสีเขียวซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่าผู้ป่วยสีเหลือง/แดง รวมถึงภาครัฐฯ เริ่มทยอยลดอัตราการจ่ายรักษาและให้บริการ COVID
3) ค่าใช้จ่ายในขายและบริหาร (SG&A/Sale) ที่สูงขึ้นจากไตรมาสก่อน 6.9% เป็น 9.5% เนื่องจากการประหยัดต่อขนาดที่ทำได้ลดลงจากฐานรายได้ที่ปรับตัวลง ส่วนการทรงตัว YoY หลักๆ มาจากอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ปรับตัวลดลงจาก เดิมที่ 46.3% ในงวด 2Q64 เป็น 36.9% ในงวด 2Q65 จึงไปหักล้างรายได้การให้บริการที่สูงขึ้น 28.1%YoY
คงประมาณการกำไรปี 2565-66 คาดอ่อนตัวเฉลี่ยปีละ 52.7%
แม้กำไรปกติโดยรวมในช่วง 1H65 มีสัดส่วนถึง 72.9% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 แต่เราประเมินแนวโน้มกำไรในช่วง 2H65 จะด้อยกว่า 1H65 อย่างมีนัยฯ อันเป็นผลมาจาก
1) รายได้การให้บริการคาดที่จะปรับตัวลดลง เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากการให้บริการ COVID ที่เริ่มจะทยอยหายไปตามสถานการณ์ COVID ที่เริ่มดีขึ้น
2) อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ที่คาดว่าเริ่มทยอยลดลงตามจำนวนผู้ป่วย COVID ที่มีอาการรุนแรงลดลง (มาร์จิ้นผู้ป่วยสีเขียวน้อยกว่าผู้ป่วยสีเหลือง/แดง) บวกกับภาครัฐฯ เริ่มทยอยลดอัตราการจ่ายโควิดลงตั้งแต่ช่วง 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2565-66 อยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท (-36.5%YoY) และ 1.5 พันล้านบาท (-64.8%YoY) เนื่องจากเราประเมินว่าแนวโน้มกำไรงวด 3Q65 จะอ่อนตัว YoY แรง เนื่องจากฐานกำไรที่สูงในงวด 3Q64 ที่ COVID มีการระบาดหนัก และคาดจะหดตัว QoQ ต่อเช่นกัน ตามความรุนแรงของโรคระบาด COVID ที่เริ่มลดลง
ยังคงคําแนะนํา “Switch” ไปยังรพ.ที่แนวโน้มกำไรแกร่งกว่า
เรายังคงคำแนะนำ “Switch” จากแนวโน้มกำไรปี 2565-66 ที่คาดจะชะลอลงด้วยอัตราเฉลี่ยปีละ 52.7% โดย “Switch” ไป BDMS และ BH ที่มีแนวโน้มกำไรที่สดใสกว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ โดยมีราคาเป้าหมายของ BDMS ที่ 32.75 บาท และ BH ที่ 215 บาท ตามลำดับ
ประเด็นความเสี่ยง
- สภาวะทางเศรษฐกิจในประเทศของผู้ป่วยต่างชาติที่มารักษาที่เปลี่ยนแปลงไป อาจส่งผลกระทบต่อการเข้ามารักษา
- การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหมอและพยาบาล
- ความเสี่ยงเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง เช่น การควบคุมยา เวชภัณฑ์ และค่ารักษาพยาบาล
BCH แนะนํา SWITCH
ราคาปัจจุบัน (บาท) 20.6
ราคาเป้าหมาย (บาท) 20.2
Upside (%) -1.9
Dividend yield (%) 3.7