บล.เอเซีย พลัส:

รายได้ยังเร่งไม่ขึ้นอย่างที่คาดหวัง

งวด 2Q65 กำไรสุทธิ 173 ล้านบาท ลดลง 25%QoQ แม้มีตัวช่วยจากเงินปันผลรับจาก GULF และ TSE จำนวน 103 ล้านบาท แต่รายได้ธุรกิจก่อสร้างที่ยังเร่งไม่ขึ้นจากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ไม่สามารถนำเข้าแรงงานต่างด้าวตามที่ต้องการ บวกกับ Gross Margin ที่ลดลงท่ามกลางแรงกดดันจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และการใช้กำลังการผลิตไม่เต็มประสิทธิภาพ

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2565-66 ลง 19% และ 6% ตามลำดับ สะท้อนอัตรากำไรและการรับรู้รายได้ที่ต่ำกว่ามุมมองเดิมภายใต้สมมุติฐานที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น ส่งผลให้ Fair Value ลดลงจาก 18.00 บาท เหลือ 14.50 บาท แต่ยังคงคำแนะนำ ชื้อ โดยกำหนดการรับรู้รายได้หลายโครงการใหญ่ในปีหน้า อาทิ รถไฟทางคู่เส้นทาง เด่นชัย-เชียงของ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา จะหนุนให้ผลประกอบการปี 2566 กลับมาเติบโตโดดเด่นได้อีกครั้ง

งวด 2Q65 กำไรสุทธิ 173 ล้านบาท ลดลง 25%QoQ

งวด 2Q65 กำไรสุทธิ 173 ล้านบาท (-25%QoQ,+12,127%YoY) กำไรลดลงจากงวด 1Q65 แม้ไตรมาสนี้จะมีการรับรู้เงินปันผลจาก GULF และ TSE เข้ามา 103 ล้านบาทก็ตาม เกิดจากรายได้ธุรกิจก่อสร้างที่ยังเร่งไม่ขึ้น จากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ไม่สามารถนำเข้าแรงงานต่างด้าวได้ตามจำนวนที่ต้องการ โดยมีรายได้เพียง 6,759 ล้านบาท ลดลง 11%QoQ ขณะที่ Gross Margin ลดลงจาก 5.7% ใน 1Q65 เหลือ 4.1% ท่ามกลางแรง กดดันจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และการใช้กำลังการผลิตไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับงวด 2Q64 ที่มีกำไรสุทธิต่ำเพียง 1 ล้านบาท จากการบันทึกค่าใช้จ่ายแพ้คดีความ 124 ล้านบาท จะเห็นกำไรที่เติบโตก้าวกระโดดหลายเท่าตัว

เร่งนำเข้าแรงงานต่างด้าว รองรับหลายโครงการใหญ่ที่ใกล้เริ่มงาน

แนวโน้มธุรกิจก่อสร้างครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยการเร่งนำเข้าแรงงานต่างด้าว เพื่อรองรับการเริ่มงานหลายโครงการใหญ่น่าจะทำได้ดีขึ้น หลังวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา ครม. มีมติเห็นชอบเรื่องการนำเข้าแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อ STEC เนื่องจาก Backlog ปัจจุบันที่มีกว่า 1.15 แสนล้านบาท เกือบ 50% จะเข้าสู่ช่วงรับรู้รายได้มากขึ้นในปี 2566 เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงของ, รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา

ปรับประมาณการกำไรลง แต่ยังให้ UPSIDE ที่น่าสนใจ คงคำแนะนำ ซื้อ

ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 2565-66 ลง 19% และ 6% ตามลำดับ สะท้อนอัตรากำไรและการรับรู้รายได้ที่ต่ำกว่ามุมมองเดิมภายใต้สมมุติฐานที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น ส่งผลให้ Fair Value ปีนี้อิง Historical PER 24 เท่า ลดลงจาก 18.00 บาท เหลือ 14.50 บาท

แต่ยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยกำหนดการรับรู้รายได้หลายโครงการใหญ่ในปีหน้า อาทิ รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา จะหนุนให้ผลประกอบการปี 2566 กลับมาเติบโตโดดเด่นได้อีกครั้ง ภายใต้พื้นฐานบริษัทที่มั่นคงทั้งในมิติ Backlog ที่มีพอรองรับการสร้างรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า บวกกับฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยดำรงสถานะ Net Cash มีเงินสดหลังหักหนี้สินทางการเงินสูงถึง 6,381 ล้านบาท โดยราคาปัจจุบันมีค่า PBV เพียง 1.07 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปีที่ 3.35 เท่า ถึง 68%

ปรับประมาณการกำไรลง แต่ยังให้ UPSIDE ที่น่าสนใจ คงคำแนะนำ ซื้อ

ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 2565-66 ลง 19% และ 6% ตามลำดับ สะท้อนอัตรากำไรและการรับรู้รายได้ที่ต่ำกว่ามุมมองเดิมภายใต้สมมุติฐานที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น ส่งผลให้ Fair Value ปีนี้อิง Historical PER 24 เท่า ลดลงจาก 18.00 บาท เหลือ 14.50 บาท

แต่ยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยกำหนดการรับรู้รายได้หลายโครงการใหญ่ในปีหน้า อาทิ รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา จะหนุนให้ผลประกอบการปี 2566 กลับมาเติบโตโดดเด่นได้อีกครั้ง ภายใต้พื้นฐานบริษัทที่มั่นคงทั้งในมิติ Backlog ที่มีพอรองรับการสร้างรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า บวกกับฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยดำรงสถานะ Net Cash มีเงินสดหลังหักหนี้สินทางการเงินสูงถึง 6,381 ล้านบาท โดยราคาปัจจุบันมีค่า PBV เพียง 1.07 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปีที่ 3.35 เท่า ถึง 68%

ประเด็นความเสี่ยง

1. ความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่จากภาครัฐ อาจส่งผลกระทบต่อยอดการรับรู้รายได้ของ STEC โดยฝ่ายวิจัยใช้สมมุติฐานว่า STEC จะเซ็นสัญญารับงานใหม่ในปี 2565 จำนวน 38,000 ล้านบาท

2. ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลต่อประมาณการรายได้ก่อสร้าง และต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นจากการทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยสมมุติฐาน gross margin ที่ปรับลงทุก 1% จะกระทบต่อกำไรปี 2565 เท่ากับ 300 ล้านบาท

STEC แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 12.40

ราคาเป้าหมาย (บาท) 14.50

Upside (%) 16.94

Dividend yield (%) 2.02

- Advertisement -