บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Banpu Power (BPP.BK/BPP TB)* กำลังฟื้นตัวขึ้น

Event

ประชุมนักวิเคราะห์งวด 2Q65

Impact

เน้นกลยุทธ์ greener and smarter

หลังประชุมนักวิเคราะห์ของ BPP เรารู้สึกกลางๆ ประเด็นสำคัญส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ข้อมูลโครงการต่างๆ ผลการดำเนินงาน และสถานะทางการเงิน โดยบริษัทยังคงเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5.3GWh (จากปัจจุบันที่ 3.2GWh) ภายในปี 2568 สนับสนุนจากโครงการ HELE (โครงการที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ปล่อยมลพิษต่ำ) และ Thermal (4.5GWh), และโครงการพลังงานหมุนเวียน (RE) (800MWe) ซึ่งบริษัทจะเน้นที่ตลาดในสหรัฐ (เพื่อให้เกิด synergy กับแหล่งก๊าซของ Banpu (BANPU.BK/BANPU TB)*) และเวียดนาม รองลงมาคือตลาดที่บริษัทมีสถานะที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้ สัดส่วน IBD/E ยังต่ำอยู่เมื่อเทียบกับของหุ้นอื่นในกลุ่มโดยอยู่ที่ 0.24% เท่านั้น จาก 0.22x ใน 1Q65 แม้จะเพิ่งออกหุ้นกู้ล็อตแรกมา 5.5 พันล้านบาทเพื่อสนับสนุนการเติบโต

ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าหลักของบริษัทกำลังจะฟื้นตัวขึ้น

ส่วน SLG คาดว่าจะซื้อก๊าซได้ในราคาที่ถูกลง (คาดจะทำสัญญาระยะยาวกับเหมืองถ่านหินใน 2H65) และอัตราการใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจากการที่จีนผ่อนคลายมาตรการ lockdown ลง ซึ่งจะทำให้ผลขาดทุนลดลงระยะต่อไป และอาจพลิกมีกำไรได้ในปี 2566 เป็นอย่างเร็ว ส่วน CHPs เราคาดกำไรจะดีขึ้น YoY จากอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น (ซึ่งชดเชยต้นทุนถ่านหิน) และปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าไปในตลาดซื้อขายไฟฟ้า และอุปสงค์ที่ฟื้นตัวของผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม อย่างเช่น Xiwang Group

ประมาณการ 2H65 – กำไรจะถึงจุดสูงสุดใน 3Q65 และจะแผ่วลงใน 4Q65

เราคาดว่ากำไรใน 2H65 จะแข็งแกร่งกว่าใน 1H65 โดยคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 3Q65F จะเพิ่มขึ้นเป็น 21.4-1.5 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วง high season ของ Temple I (ฤดูร้อนในรัฐ Texas ประเทศสหรัฐ) ผลขาดทุนจาก CHPs ลดลง (ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น) และผลขาดทุนของ SLG ลดลง (ผลการดำเนินงานดีขึ้น) หลังจากที่จีนผ่อนคลายมาตรการ lockdown เราเชื่อว่าผลการดำเนินงานของ SLG จะได้แรงหนุนจาก capacity factor ที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนถ่านหินที่ลดลงจากการทำสัญญาระยะยาวกับเหมืองถ่านหินใน 2H65 แต่เราคาดว่าผลประกอบการจะแผ่วลงใน 4Q65F เนื่องจากจะมีสองยูนิตของโครงการหงสาปิด ซ่อมบำรุงตามกำหนด และคาดว่าผลการดำเนินงานของ Temple I จะชะลอตัวลง

Valuation & Action

เรายังแนะนำซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย DCF ปี 2566 ที่ 18.40 บาท โดยประเด็นสำคัญที่ได้จากการประชุมนักวิเคราะห์ยังเป็นไปตามข้อมูลที่ผู้บริหารให้ไว้ในครั้งล่าสุด และยังสนับสนุนมุมมองบวกของเราต่อบริษัท เราคาดว่าราคาหุ้นจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้งตามผลประกอบการที่จะดีขึ้น และการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าหลายๆ โรง โดยเฉพาะ CHPs (จาก margin ที่เพิ่มขึ้น) และ SLG (ราคาต้นทุนถ่านหินถูกลง และกำลังการผลิตสูงขึ้น) อีกทั้งเรายังมองว่านักลงทุนส่วนใหญ่ under-own หุ้น BPP

Risks

มีการปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, ปัญหา cost overrun, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย

- Advertisement -