บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action TRADING (Maintain)
TP upside (downside) +5.7%
Close Sep 2, 2022 Price (THB) 166.50
12M Target (THB) 176.00
Previous Target (THB) 160.00
What’s new?
- ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2565-2566 เป็น US$100/bbl (จาก US$90/bbl) และ US$85/bbl (จาก US$75/bbl) ตามลำดับ ขณะที่คงสมมติฐานราคาน้ำมันระยะยาวที่ US$65/bbl
- ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565-2566 เพิ่มขึ้น 11-12% เป็น 7.3 หมื่นล้านบาท (+87% YoY) และ 7.2 หมื่นล้านบาท (ทรงตัว YoY)
- ราคาเหมาะสมใหม่ 176.00 บาท (DCF) Implied เป็น PBV ที่ 1.4 เท่า ถือว่าสมเหตุสมผล เพราะใกล้เคียงปี 2556 ที่มี ROE 15% เท่ากัน
Our view
- แนวโน้มกำไร 2H65 ยังแข็งแกร่ง คาดประคองตัวระดับสูง QoQ และเติบโต YoY ทุกไตรมาส
- อย่างไรก็ตาม แนะนำเพียง TRADING ตามราคาน้ำมันที่มีโอกาสสูงขึ้นช่วงปลายปี และลุ้น OPEC+ ปรับลดการผลิตในการประชุมวันที่ 5 ก.ย. เพราะมองว่าภาพรวมช่วงที่ดีของราคาน้ำมัน และการเห็น Earnings Upgrade ของ PTTEP กำลังจะผ่านไป
- ความเสี่ยง ได้แก่ ราคาน้ำมันผันผวนจากเศรษฐกิจโลก, การเมือง และข้อตกลงอิหร่าน รวมทั้งค่าใช้จ่ายพิเศษปลายปี (การขายเงินลงทุน – ด้อยค่าสินทรัพย์)
PTT EXPLORATION & PRODUCTION สมมติฐานราคาน้ำมันใหม่
ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบปี 2565 – 2566
แม้เราคงมุมมองว่าราคาน้ำมันดิบได้ผ่านจุดดีที่สุดในช่วง 1H65 ไปแล้ว ประเมินว่าตลาดน้ำมัน 2H65 จะตึงตัวลดลง เพราะอุปสงค์มีสัญญาณชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก, การ Unwind มาตรการควบคุมการผลิตของ OPEC, การผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นของ Non-OPEC เช่น สหรัฐฯ แคนาดา บราซิล และโอกาสการกลับมาส่งออกน้ำมันของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาน้ำมันยังประคองตัวได้ดีจากสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ชาติตะวันตก, ความคาดหวังอุปสงค์ Gas-to-oil Switching ช่วงปลายปี, ชาติยุโรปเริ่มแบนการนำเข้าน้ำมันดิบทางทะเลจากรัสเซียในเดือนธ.ค., การสิ้นสุดของมาตรการระบายสต็อกน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR) เดือนต.ค. และท่าทีของ OPEC ที่พร้อมปรับลดการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพให้ราคาน้ำมันอยู่ระดับสูง จากเหตุผลข้างต้นเราปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2565 – 2566 ขึ้นเป็น US$100/bbl (จาก US$90/bbl) และ US$85/bbl (จาก US$75/bbl) ตามลำดับ ขณะที่ยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบระยะยาวไว้ที่ US$65/bbl
ราคาขาย Liquid ได้ประโยชน์ทันที…ปรับประมาณการปี 2565 – 2566 ขึ้น 11-12%
แนวโน้มราคาน้ำมันที่อยู่ระดับสูง เป็นบวกโดยตรงต่ออัตรากำไรของธุรกิจพลังงานต้นน้ำ โดย PTTEP จะมีราคาขายเฉลี่ย (ASP) เพิ่มขึ้นทันทีจากยอดขาย Liquid ที่มีสัดส่วนราว 28% ของปริมาณขายทั้งหมด ซึ่งเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จากเหตุผลข้างต้นเราปรับสมมติฐานราคาขายเฉลี่ยขึ้น 7% รวมทั้งปรับต้นทุนผลิตต่อหน่วยขึ้น 5% เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายการเร่งปริมาณผลิตของโครงการ G1 และค่าภาคหลวงที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565-2566 เพิ่มขึ้น 11-12% เป็น 7.3 หมื่นล้านบาท (+87% YoY) และ 7.2 หมื่นล้านบาท (ทรงตัว YoY) ตามลำดับ โดยประมาณการของเรารวมขาดทุน Hedging ราคาน้ำมัน และความเสี่ยงจากบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษ (ด้อยค่าสินทรัพย์ และขาดทุนปรับ Portfolio การลงทุน) ช่วงปลายปีไว้บางส่วนแล้ว นอกจากนี้ เราประเมิน Sensitivity การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันทุก US$1/bbl จะกระทบต่อคาดการณ์กำไร 830 ล้านบาท และราคาเหมาะสม 2.2 บาท
แนวโน้มผลประกอบการ 2H65 แข็งแกร่ง
สำหรับ 2H65 แม้ประเมินว่าต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น HoH ตามปัจจัยฤดูกาล และมีโอกาสบันทึกขาดทุนจากการปรับ Portfolio การลงทุนในบราซิล – ผลกระทบจากความล่าช้าของโครงการโมซับบิก อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการจะสามารถประคองตัว QoQ และขยายตัว YoY ได้ทุกไตรมาส เนื่องจาก 1) ขาดทุนป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมันลดลง 2) ปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากการรับรู้โครงการ G1 เต็มไตรมาส (เริ่มตั้งแต่เดือนเม.ย.) และการเริ่มส่งมอบน้ำมันของโครงการ Algeria HBR (COD เดือนมิ.ย.) 3) การปรับเพิ่มราคาขายก๊าซจากโครงสร้างราคาที่อ้างอิงน้ำมันเตา และมี Lag-time
สำหรับ TRADING ตามราคาน้ำมัน…ลุ้น OPEC ลดการผลิต
ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 176.00 บาท (เดิม 160.00 บาท) ด้วยวิธี DCF (WACC 8.9% จากเดิม 9.2% อ้างอิง Rm 9.0% และ Rf 2.5%) ที่ราคาเป้าหมาย Implied เป็น PBV ที่ 1.4 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยปี 2556 ซึ่งเป็นช่วงที่มี ROE สูง 15% เช่นกัน ราคาเหมาะสมของเราจึงมีความสมเหตุสมผล ทั้งนี้ เรามองว่าช่วงเวลาดีสุดของราคาน้ำมันผ่านไปแล้วใน 1H65 และเชื่อว่า Earnings Upgrade ของ PTTEP กำลังจะผ่านไป จึงคงคำแนะนำ TRADING สำหรับเก็งกำไรตามราคาน้ำมันที่มีโอกาสสูงขึ้นช่วงปลายปี