บล.บัวหลวง:

JASIF – ADVANC ยื่นเงื่อนไขใหม่จ่ายค่าเช่าเร็วขึ้นอีก 7-12 ปี

What’s new?

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2022 ADVANC และ Acumen (ACU) ได้เข้าทําบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมบันทึกโดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเช่าสายใยแก้วนําแสงที่ TTTBB จะต้องชําระให้แก่ JASIF ตามสัญญาเช่าหลัก

Highlights:

  • สาระสําคัญของการเปลี่ยนแปลงมีดังต่อไปนี้

(1) TTIBB ตกลงชําระค่าเช่าสายใยแก้วนําแสงล่วงหน้าตามสัญญาเช่าหลักจํานวน 3,000 ล้านบาท โดยจะแบ่งชําระเป็นสามงวดดังนี้
งวดที่ 1 จํานวน 1,000 ล้านบาท ในวันที่ธุรกรรมจําหน่ายหุ้นและธุรกรรมจําหน่ายหน่วยลงทุนเสร็จสิ้น
งวดที่ 2 จํานวน 1,000 ล้านบาท ในวันที่ครบรอบหนึ่งปีนับแต่วันที่ธุรกรรมจําหน่ายหุ้นและธุรกรรมจําหน่ายหน่วยลงทุนเสร็จสิ้น
งวดที่ 3 จํานวน 1,000 ล้านบาท ในวันที่ครบรอบสองปีนับแต่วันที่ธุรกรรมจําหน่ายหุ้นและธุรกรรมจําหน่ายหน่วยลงทุนเสร็จสิ้น

(2) ค่าเช่าล่วงหน้าที่ได้ชําระข้างต้นถือเป็นการชําระค่าเช่าสายใยแก้วนําแสงตามสัญญาเช่าหลักในงวดเดือนม.ค. ปี 2030 และปี 2031 ในอัตรางวดละ 300 ล้านบาท และเป็นการชําระค่าเช่าสายใยแก้วนําแสงตามสัญญาเช่า หลักงวดเดือนม.ค. ปี 2032-37 ในอัตรางวดละ 400 ล้านบาท โดยหากค่าเช่าสายใยแก้วนําแสงตามสัญญาเช่าหลักที่เกิดขึ้นจริงในเดือนม.ค. ปี 2032-37 มีจํานวนมากกว่าค่าเช่าล่วงหน้า TTIBB ยังคงมีหน้าที่ต้องชําระค่าเช่าสายใยแก้วนําแสงที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าหลักต่อไป

(3) ข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อ ที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF มีมติอนุมัติ โดยการประชุมผู้ถือหุ้นทั้ง JAS และ JASIF เพื่อขอมติเสียงส่วนใหญ่ของดีลซื้อกิจการในครั้งนี้ได้เลื่อนออกไปจากวันที่ 23 ก.ย. ไปเป็นวันที่ 18 ต.ค. 2022

View From Fundamental:

เรามองว่าเงื่อนไขข้างต้นถือว่าดูดีขึ้นจากเดิม เนื่องจากเป็นการเร่งการจ่ายค่าเช่าบางส่วนให้เร็วขึ้นจากปี 2030-2037 มาเป็นในช่วงปี 2023-25 แทน (ภายใต้สมมติฐานว่าธุรกรรมการซื้อขาย TTTBB และ JASIF เสร็จสิ้นในช่วง 1H23 และเงินสด 1 พันล้านบาทงวดแรกเริ่มต้นจ่ายได้ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป) แต่เงื่อนไขอื่นๆ โดยรวมยังคงเหมือนเดิมดังเช่นที่ ADVANC เสนอมาในครั้งก่อนหน้า เช่น การยกเลิกสัญญาเช่ารองหรือสัญญาในส่วน 20% ของคาปาซิตี้รวมทั้งหมด

ภายใต้สมมติฐานของค่าเช่าที่ JASIF จะได้รับเร็วขึ้นอีก 1 พันล้านบาท/ปีในช่วงปี 2023-25 เราประเมินว่าจะส่งให้กำไรสุทธิและกำไรหลักของ JASIF เพิ่มขึ้นอีก 1 พันล้านบาท/ปี และสมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผล 90% ของกำไรหลัก เราประเมินว่าจะส่งให้เงินปันผลของ JASIF เพิ่มขึ้นอีก 900 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นอีก 0.11 บาท/หน่วย และถ้าใช้ราคาหน่วยของ JASIF ในช่วง 8-10 บาท/หน่วย จะคิดกลับมาเป็น dividend yield ที่เพิ่มขึ้นอีก 1.1-1.4% ต่อปีในช่วงปี 2023-25 ในแง่ผลกระทบต่อมูลค่า DCF เราประเมินว่าไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเป็นเพียงแค่การเลื่อนชำระค่าเช่าให้เร็วขี้นกว่าเดิม 7-12 ปี (ซึ่งไม่ใช่การลดค่าเช่า)

เรามองว่าข่าวข้างต้นถือว่าเป็นข่าวบวกเล็กๆ ต่อผู้ถือหน่วย JASIF จากเงินปันผลที่จะได้รับเร็วขึ้นอีก 7-12 ปี เรามองว่าเป็นความพยายามของ ADVANC ที่จะยื่นเงื่อนไขใหม่ให้กับผู้ถือหน่วย JASIF เพื่อให้พิจารณาใหม่และให้โหวตดีลนี้ให้ผ่านในวันที่ 18 ต.ค. 2022 ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ถือหน่วย JASIF ว่าจะโหวตให้ผ่านหรือไม่บนเงื่อนไขใหม่ข้างต้น เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” JASIF ที่ราคาเป้าหมายซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ที่ 12.60 บาท/หน่วยซึ่งยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดิมของสัญญาเช่าที่ไม่ได้มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเงื่อนไขของการแก้ไขสัญญาเช่าข้างต้นเกิดขึ้นจริง ราคาเป้าหมายใหม่มีแนวโน้มอยู่ในช่วง 9.3-9.5 บาท/หน่วย

- Advertisement -