บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action TRADING (Downgrade)

TP upside (downside) +12.6%

Close Sep 9, 2022 Price (THB) 41.75 

12M Target (THB) 47.00

Previous Target (THB) 63.00

What’s new?

  • สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกยังยืดเยื้อต่อเนื่อง สัปดาห์ที่ผ่านมา Gazprom ประกาศหยุดจ่ายก๊าซผ่านท่อ Nord Stream 1 อย่างไม่มีกำหนด และภาครัฐระบุว่าจะหยุดส่งมอบสินค้าพลังงานทั้งหมด หาก G7 ใช้นโยบายกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย
  • ปรับกำไรสุทธิปีนี้ขึ้น 7% สะท้อนกำไรสินค้าคงคลังช่วง 1H65 แต่ปรับกำไรปี 2566 ลง 19% สะท้อนความเสี่ยงด้านต้นทุนพลังงาน, นโยบาย Zero-Covid และภาวะ Chip Shortage ที่ยืดเยื้อ

Our view

  • IVL มี EBITDA จากยุโรป 13% ปัจจุบันผลกระทบจากอุปทานพลังงานยังจำกัด มีเพียงธุรกิจในสาธารณรัฐ เช็ก และเยอรมนีที่มีความเสี่ยง (<1% ของทั้งหมด)
  • ทั้งนี้ สถานการณ์ที่ยืดเยื้อจะเป็นความเสี่ยงต่อต้นทุน – เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจในยุโรปปี 2566
  • แม้กำไร 2H65 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่โมเมนตัมเริ่มชะลอ ทำให้หุ้นผ่านช่วง Earnings Upgrade Cycle ที่ดีไปแล้ว และมีความเสี่ยงจาก Exposure การลงทุนในยุโรป เราปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 47.00 บาท และลดคำแนะนำเป็น TRADING

INDORAMA VENTURES ความเสี่ยงในยุโรป และการชะลอตัวตามฤดูกาล

ความขัดแย้งรัสเซีย vs ชาติตะวันตกเพิ่มความกังวลต่ออุปทานพลังงาน

นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ราคาพลังงานทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก จากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก สถานการณ์ดังกล่าวยังมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อเนื่อง โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Gazprom บริษัทพลังงานขนาดใหญ่ของรัสเซีย ประกาศหยุดส่งมอบก๊าซธรรมชาติจากท่อ Nord Stream 1 อย่างไม่มีกำหนด (เดิมจะกลับมาใช้งานวันที่ 2 ก.ย.) และทางการรัสเซียระบุว่าจะระงับการส่งสินค้าพลังงานทุกประเภทให้กับชาติตะวันตก เพื่อตอบโต้หากกลุ่มประเทศ G7 ยืนกรานใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันของรัสเซีย สถานการณ์ที่ตึงเครียดดังกล่าวจะทำให้ราคาพลังงานช่วงที่เหลือของปี 2565 และปี 2566 อยู่ในระดับสูงต่อไป รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงด้านอุปทานพลังงาน – ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของยุโรปในปีหน้า

แรงกดดันด้านต้นทุน และภาวะเศรษฐกิจในยุโรป

IVL มี EBITDA จากยุโรปในสัดส่วน 13% ของทั้งหมด แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจในยุโรปของบริษัทฯ ยังได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะมีเพียงธุรกิจในเยอรมนี และสาธารณรัฐเช็กที่มีความเสี่ยงด้านอุปทานพลังงาน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศมีสัดส่วน EBITDA ไม่ถึง 1% ของทั้งหมด และบริษัทฯ ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปสำหรับ 2H65 ไปแล้ว 31-38% อย่างไรก็ตาม กรณีสถานการณ์ยืดเยื้อข้ามปี จะเพิ่มแรงกดดันด้านต้นทุนต่อธุรกิจในยุโรป และสหรัฐฯ ในปีหน้ามากขึ้น (ข้อมูลเดือนส.ค. บริษัทฯ ทำการป้องกันความเสี่ยงราคาก๊าซปี 2566 ที่ 21% และ 30% ตามลำดับ) รวมทั้งความรุนแรงของมาตรการตอบโต้ระหว่าง 2 ฝ่ายอาจทำให้ปัญหาขาดแคลนอุปทานพลังงานขยายวงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในยุโรป

ปรับสมมติฐานปี 2566 ให้รัดกุม

ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 7% เป็น 4.7 หมื่นล้านบาท (+79% YoY) จากการเพิ่มสมมติฐานกำไรสินค้าคงคลังให้สะท้อนผลประกอบการช่วง 1H65 อย่างไรก็ตาม เราปรับกำไรสุทธิปี 2566 ลง 19% เป็น 3.2 หมื่นล้านบาท (-31% YoY) โดยหลักมาจากการปรับอัตรากำไรผลิตภัณฑ์ IOD ลง 16% และผลิตภัณฑ์ Fiber ลง 22% ให้เพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงด้านต้นทุนพลังงาน, การฟื้นตัวที่ล่าช้าของธุรกิจ Fiber ในอุตสาหกรรม Lifestyle – Mobility จากความยืดเยื้อของนโยบาย Zero-Covid ของจีน และสถานการณ์ขาดแคลนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

มเมนตัมกำไร 2H65 ชะลอลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล

แม้แนวโน้มกำไร 2H65 จะยังอยู่ในเกณฑ์ดี คาดสามารถเติบโต YoY จากการควบรวมดีล M&A เต็มไตรมาส และการปรับเพิ่มราคาขายในตลาดตะวันตก อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าโมเมนตัมกำไร 2H65 และปี 2566 จะเห็นการปรับตัวลง กดดันจาก 1) ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น 2) ค่าระวางเรือทยอยลดลงกลับสู่ระดับปกติ 3) MTBE Margin ลดลงตามอุปสงค์น้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ 4) อุปสงค์ PET เข้าสู่ Low season

De-rating Valuation สะท้อนความเสี่ยงในยุโรป

ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 47.00 บาท อ้างอิง PBV ที่ 1.3 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่มีส่วนลดจากค่าเฉลี่ย 5 ปี -1.0 SD (เดิม 2.0 เท่า) สะท้อนโมเมนตัมกำไร 2H65 – 2566 ที่ลดลง, Earnings Upgrade Cycle กำลังจะผ่านไป และ Portfolio มี Exposure การลงทุนในยุโรป ซึ่งมีความเสี่ยงจากการเข้าสู่ภาวะ เศรษฐกิจถดถอย ราคาปัจจุบันหุ้นมี Upside gain ไม่มาก ทางพื้นฐานจึงลดคำแนะนำเป็น TRADING

- Advertisement -