บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action TRADING (Downgrade)

TP upside (downside) +15.6%

Close Sep 14, 2022 Price (THB) 346.00

12M Target (THB) 400.00

Previous Target (THB) 460.00

What’s new?

  • 3QTD Spread HDPE PP ยังปรับตัวลงต่อ QoQ และ YoY มองว่าการฟื้นตัวของตลาดปิโตรเคมี อาจใช้เวลานานกว่าที่เราเคยประเมินไว้ กดดันจากนโยบาย Zero-Covid, กำลังผลิตใหม่ และเศรษฐกิจโลกซบเซา กระทบต่อกำไร 2H65 และประโยชน์จากโครงการ LSP ในปีหน้า
  • ปรับกำไรปี 2565 – 2566 ลง 11-19% เป็น 3.0 หมื่นล้านบาท (-36% YoY) และ 3.5 หมื่นล้านบาท (+15% YoY) ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ 400.00 บาท

Our view

  • แม้หุ้นซื้อขายบน PBV ที่ 1.1 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551 และช่วงการแพร่ระบาดรอบแรกปี 2563 รวมทั้งมี Upside gain สูง 15.6%
  • อย่างไรก็ตาม เราปรับคำแนะนำลงเป็น TRADING เพราะระยะสั้นหุ้นไม่มี Catalyst บวก โดย 1) คาดงบ 3Q65 อ่อนแอ QoQ จากตลาดปิโตรเคมี และปัจจัยฤดูกาลของภาคการก่อสร้าง 2) คาด 1 เดือนข้างหน้า หุ้นมีความเสี่ยงถูก Consensus ปรับลดประมาณการ 3) การฟื้นตัวที่ล่าช้าของตลาดปิโตรเคมีทำให้เกิดความเสี่ยงต่อแผน Spin-off SCGC

THE SIAM CEMENT การฟื้นตัวใช้เวลานานกว่าคาด

3QTD ตลาดปิโตรเคมียังอ่อนแอลงต่อ

เรามองว่าการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีจะใช้เวลานานกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดย 3QTD HDPE Spread และ PP Spread เฉลี่ยอยู่ที่ US$395/ตัน (-15% QoQ, -14% YoY) และ US$367/ตัน (-23% QoQ, -36% YoY) ตามลำดับ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงต้นทุนการผลิต กดดันจากนโยบาย Zero-Covid ของจีนที่ยืดเยื้อ  ทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมี 2H65 ยังอ่อนแอ (อุปสงค์จากจีนคิดเป็นราว 30% ของทั้งโลก), ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซาจากนโยบายการเงินตึงตัวเพื่อสกัดปัญหาเงินเฟ้อ, สหรัฐฯ – จีน ยังไม่มีท่าทีผ่อนปรนนโยบายกำแพงภาษี และอุปทานจากกำลังผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก มองข้ามไปยังปี 2566 แม้เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้น YoY จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมของจีน (คาดมีสัญญาณดีขึ้นหลังการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ 16 ต.ค.) อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการเปิดใช้งานโรงงานใหม่ ที่ถูกเลื่อนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้การ COD ของโครงการ LSP จะยังไม่สามารถผลักดันกำไรปี 2566 ได้มากนัก (สินค้าปลายน้ำ-ต้นน้ำเริ่มผลิตปลายปี 2565 – 1H66 แต่ใช้เวลา Ramp-up 3-6 เดือน)

การฟื้นตัวใช้เวลานานกว่าคาด….ปรับกำไรปี 2565 – 2566 ให้รัดกุมมากขึ้น

แนวโน้มผลประกอบการ 2H65 ลดลง HoH จากความอ่อนแอของตลาดปิโตรเคมี ตามเหตุผลข้างต้นจะส่งผลต่ออัตราการผลิตของ SCC, ธุรกิจ PVC อ่อนแอลงจากการเข้าสู่ฤดูฝน และการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน, ธุรกิจวัสดุก่อสร้างเข้าสู่ Low season และได้รับผลกระทบจากต้นทุนถ่านหิน จากเหตุผลดังกล่าว เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 – 2566 ลง 11-19% เป็น 3.0 หมื่นล้านบาท (-36% YoY) และ 3.5 หมื่นล้านบาท (+15% YoY) ตามลำดับ

ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ 400.00 บาท

ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 400.00 บาท อ้างอิง PBV ที่ 1.2 เท่า (เดิม 1.5 เท่า) ให้ส่วนลดจากค่าเฉลี่ย 5 ปี -2.5 SD สะท้อน ROE ปี 2565 – 2566 ที่อยู่ระดับต่ำ 8-9% เทียบกับค่าเฉลี่ยระดับ 14% ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ราคาเหมาะสมใหม่จะ Implied เป็น EV/EBITDA และ PER ที่ 10.0 เท่า และ 13.7 เท่า ตามลำดับ ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต และเมื่อเทียบกับการเติบโตปี 2566 ที่ 15% ถือว่ามีความสมเหตุสมผล

ระยะสั้นมีความเสี่ยงถูกปรับลดประมาณการ และอาจกระทบแผน IPO

แม้ราคาปัจจุบันมี Upside gain 15.6% และประเมินว่าหุ้นมี Valuation ระดับต่ำแล้ว เพราะปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 1.1 เท่า ใกล้เคียงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551 และช่วงการแพร่ระบาดรอบแรกปี 2563 อย่างไรก็ตาม เราปรับลดคำแนะนำลงเป็น TRADING (จาก “ซื้อ”) เนื่องจากมองว่าระยะสั้นหุ้นยังไม่มี Catalyst บวก โดยคาด 1 เดือนข้างหน้าหุ้นอาจถูกกดดันจากการปรับลดประมาณการของตลาด (คาดการณ์กำไรปี 2565 – 2566 ของเราต่ำกว่า IAA Consensus 13-18%) รวมทั้งอาจมี Sentiment ลบจากความไม่แน่นอนของกระบวนการ Spin-off SCGC เนื่องจากสภาพตลาดปิโตรเคมีปี 2566 ที่ยังไม่โดดเด่น

- Advertisement -