บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +27.5%

Close Sep 15, 2022 Price (THB) 9.10

12M Target (THB) 11.60

Previous Target (THB) 10.80

What’s new?

  • บริษัทรายงานกำไรปกติ 2Q65 ที่ 338 ลบ. พลิกกลับมาเติบโตขึ้นเล็กน้อย YoY QoQ แต่ลดลงจากค่าใช้จ่ายการเปิดตัวโครงการใหม่ที่หนาแน่น
  • ในช่วง 8MTD บริษัทได้ทำการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 8 โครงการ รวมมูลค่า 5.7 พันลบ. คิดเป็นกว่า 94% เมื่อเทียบกับยอดเปิดตัวปี 2564 ทั้งปี
  • แนวโน้มกำไร 2H65 คาดเติบโตทั้ง HoH และ YoY

Our view

  • คงคําแนะนํา “ซื้อ” พร้อมปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 ที่ 11.60 บาท/หุ้น คาดผลประกอบการปี 2566 เติบโตขึ้น 7.1% เป็น 1.6 พันลบ. หนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเปิดตัวโครงการใหม่ที่หนาแน่นในปี 2565
  • คาดเงินปันผลงวดการดำเนินงาน 2H65 ที่ 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield จากราคาปิดวานนี้ที่สูงถึง 3.8%

LALIN PROPERTY แนวโน้มกำไร 2H65 ยังโดดเด่น

กำไรปกติ 2Q65 ผลิกกลับมาเติบโต QoQ แต่ลดลงเล็กน้อย YoY

บริษัทรายงานรายได้และกำไรปกติ 2Q65 ที่ 1.6 พันลบ (+3.0% QoQ, -2.5% YoY) และ 338 ลบ. (+3.2% QoQ, -3.9% YoY) ตามลำดับ รายได้และกำไรที่ปรับตัวสูงขึ้น QoQ เป็นผลมาจากการขยายตัวของ โครงการปัจจุบัน (On-going projects) ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นจำนวนมากในช่วงปลาย 1Q65 ถึง 2Q65 ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อกิจกรรมการเดินทาง และยอดเยี่ยมชมโครงการ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการปกติที่ลดลงเล็กน้อย YoY เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) รายได้จากการขายที่ปรับตัวลดลง 43 ลบ. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ (2) ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นสะท้อนผ่านอัตราส่วน SG&A/Sales ใน 2Q65 ที่ 13.1% (-1 bps QoQ, +35 bps YoY) ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายทางโฆษณาที่เพิ่มขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดตามยอดเปิดตัวโครงการใหม่ที่หนาแน่น ทั้งนี้ บริษัทยังสามารถคงอัตรากำไรขั้นต้นช่วง 2Q65 ได้เท่ากับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 ปี ที่ 39.0% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 31.0-33.0% ผ่านการปรับราคาขายในบางโครงการที่มีความต้องการสูง เพื่อชดเชยราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของ COVID-19

ยอดเปิดตัวโครงการใหม่ YTD เกือบเท่าปีที่แล้วทั้งปี…2H65 ยังไม่ผ่อนคันเร่ง

ในช่วง 8MTD บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 8 โครงการ รวมมูลค่า 5.7 พันลบ. หรือคิดเป็นกว่า 94% เมื่อเทียบกับยอดเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี 2564 ที่ 6.0 พันลบ. 8 โครงการดังกล่าวแบ่งออกเป็นโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝดจำนวน 5 โครงการรวมมูลค่า 3.0 พันลบ. (ส่วนใหญ่เป็นโครงการภายใต้แบรนด์หลักของบริษัทคือ Lanceo) และโครงการทาวน์เฮ้าส์จำนวน 3 โครงการรวมมูลค่า 2.7 พัน ลบ. (ภายใต้แบรนด์ LIO และ LALIN Town) โดยมีโครงการขนาดใหญ่ที่เป็น Highlight ได้แก่ Lanceo CRIB Rattanathibet – Westgate (1.1 พันลบ.) และ LIO Wongwan Rangsit – Klong 4 (1.0 พันลบ.) ซึ่งเปิดตัวไปในช่วงปลาย 2Q65 และต้น 3Q65 ตามลำดับ คาดปัจจุบันทำ Take-up rate ได้แล้วราว 10-20% เป็นปัจจัยหนุนรายได้ในช่วง 2H65 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงที่เหลือของปีอีกจำนวน 2-3 โครงการ คาดมูลค่ารวมราว 1.5 พันลบ. เกิดขึ้นตามแผนจะส่งผลให้ยอดเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี 2565 อยู่ที่ 7.2 พันลบ. เติบโตขึ้นราว 20% YoY

แนวโน้มผลประกอบการ 2H65 ดูสดใสจากการขยายฐานโครงการใหม่

เราคาดเบื้องต้นผลผลประกอบการช่วง 2H65 จะอยู่ที่ระดับ 750-800 ลบ. เติบโตขึ้นเด่นทั้ง HoH และ YoY แม้คาดการก่อสร้างบางส่วนในช่วง 3Q65 จะได้รับผลกระทบจากหน้าฝนและสถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบัน (คาดเบื้องต้น กำไรปกติ 3Q65 ทรงตัวถึงเติบโตได้เล็กน้อยทั้ง QoQ และ YoY ในกรอบ 340-370 ลบ.) อย่างไรก็ตาม Pent-up demand จากยอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 3Q65 จะถูกยกยอดไปยัง 4Q65 และสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปี จึงคาดไม่กระทบต่อประมาณการกำไรปี 2565 ของเราที่ 1.5 พันลบ.

คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อม Rollover ไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 11.60 บาท/หุ้น

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 ที่ 11.60 บาท/หุ้น อิง PER เหมาะสมเท่าเดิมที่ 6.9x (เทียบเท่า +1.0 SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของบริษัท) คาดผลประกอบการปี 2566 เติบโตขึ้น 7.1% YoY จากการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 ที่หนาแน่น และการบริโภคภายในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัว หนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ เราคาดเงินปันผลงวด 2H65 ที่ 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield จากราคาปิดวานนี้ที่สูงถึง 3.8%

- Advertisement -