Our View? “แกว่งรอต่อไป”

คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,630 / 1,625 และแนวต้านที่บริเวณ 1,640 / 1,645 มองตลาดยังคงให้น้ำหนักกับการติดตามการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) วันที่ 20-21 ก.ย. นี้ โดยเราคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับ CME FEDWatch Tool ซึ่งเป็นเครื่องมือสะท้อนคาดการณ์ดอกเบี้ยของ FED บ่งชี้ว่าตลาดคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% กว่า 80.0% ขณะที่อีกส่วนมองว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 1.00% ที่น้ำหนักราว 20.0% ซึ่งหาก FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% จริง คาดจะส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนมีมุมมองที่ผ่อนคลายขึ้น แต่แนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินของ FED และอาจเห็นแรง Cover Short กลับได้ รวมทั้งคาดทิศทางอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐ (US Bond Yield) ที่ปรับตัวขึ้นรับรู้การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไปแล้ว คาดอาจปรับตัวลดลง ซึ่งจะเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน ต.ค. เมื่อคืนนี้แกว่งตัวผันผวนก่อนจะปิดที่ระดับ 85.73 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.62 ดอลลาร์ (+0.73%) โดนได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับ ภาวะอุปทานที่ยังคงตึงตัวต่อไป โดย OPEC+ รายงานตัวเลขการผลิตน้ำมันของกลุ่มต่ำกว่ามติกำลังการผลิตน้ำมันที่ตั้งไว้ โดยการผลิตน้ำมันในเดือน ส.ค. และ ก.ค. ต่ำกว่าเป้าหมายที่ระดับ 3.58 ล้านบาร์เรล/วัน และ 2.89 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ คาดจะหนุนทิศทางราคาน้ำมัน-หุ้นในกลุ่มพลังงานฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง อย่างไรก็ตาม เรายังมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่โอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยตามการเร่งขึ้นดอกเบี้ย ของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ คาดจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบที่มีแนวโน้มลดลงยังเป็นปัจจัยหลักกดดันทิศทางราคาน้ำมันปรับตัวลงได้ต่อในระยะกลางในด้านอุปสงค์อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เรามองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC และ GULF) ตามทิศทางราคาพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนมีโอกาสลดลงต่อเนื่องในระยะถัดไป

ในส่วนของปัจจัยในประเทศ เรามองตลาดอาจเผชิญความไม่แน่นอนของทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติในระยะสั้นในแง่ของค่าเงินบาทที่ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญในโซน 37.0 บาท ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติอาจระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้น เพื่อประเมินทิศทางค่าเงินได้อีกครั้ง ทั้งนี้เรายังคงมุมมองให้ระมัดะวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากตลาดหุ้นไทยที่อยู่เหนือระดับ 1,640 จุด ซึ่งถือเป็นโซนที่ Valuation ของตลาดในปัจจุบันจะเริ่มตึงตัวมากขึ้น โดย Forward PE เริ่มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 16 เท่า อยู่ในระดับ -0.5 S.D. ในปีนี้ คาดจะกดดันทิศทางตลาดได้ ซึ่งทำให้เราคาดว่าในระยะถัดไปต่อจากนี้อาจเห็นตลาด Rotate กลุ่มในตลาดหุ้นไทย จากกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ หุ้นในกลุ่มพลังงาน (PTTEP, TOP, SPRC และ BCP), ปิโตรเคมี (IVL และ PTTGC) และโรงพยาบาล (BH และ BDMS) เข้าหาหุ้นในกลุ่มที่ยัง Laggard และมีแนวโน้มที่กำไรจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 4 อาทิ หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO), รับเหมา-ก่อสร้าง (CK, STEC, ITD และ SYNTEC), สื่อ-โฆษณา (PLANB และ VGI) อาหารและเครื่องดื่ม (TKN, SUN, CFRESH และ ASIAN) และหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB และ BBL) ได้บ้าง

ทั้งนี้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ Ford Motor เปิดเผยว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์การผลิต EV มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ AH และ SAT

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนําวันนี้ “BBL”

กลยุทธ์ ชื้อสะสม แนวรับ 135.00 / 134.05 Target 140.00 / 144.00 Stop <133.50

- Advertisement -