Our View? “รอพี่ใหญ่ส่งสัญญาณ”

คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,633 / 1,625 และแนวต้านที่บริเวณ 1,645 / 1,650 คาดตลาดยังคงให้น้ำหนักต่อผลการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในค่ำคืนนี้ โดยเราคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกันกับ CME FEDWatch Tool ซึ่งเป็นเครื่องมือสะท้อนคาดการณ์ดอกเบี้ยของ FED บ่งชี้ว่าตลาดคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% กว่า 80.0% ขณะที่อีกส่วนมองว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 1,00% ที่น้ำหนักราว 20.0% อีกทั้งยังต้องติดตาม Dot Plot ในช่วงปีหน้าของ FED ว่าจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับใด ซึ่งหาก FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% จริง และ Dot Plot ปรับขึ้นไม่เกิน 4.50-4.75% ในช่วงปีหน้า คาดจะส่งผลตลาดมีมุมมองที่ผ่อนคลายขึ้น และอาจเห็นแรง Cover Short กลับได้ รวมทั้งคาดทิศทางอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร สหรัฐ (US Bond Yield) ที่ปรับตัวขึ้นรับรู้การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไปแล้วคาดอาจปรับตัวลดลง ซึ่งจะเป็น จิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวขึ้นได้บ้างในระยะสั้น

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ส่งมอบเดือน พ.ย. เมื่อคืนนี้แกว่งตัวลงอีกครั้ง ปิดที่ระดับ 83.94 ดอลลาร์/บาร์เรล –1.42 ดอลลาร์ (-1.66%) โดยยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยตามการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ คาดจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบที่มีแนวโน้มลดลงยังเป็นปัจจัยหลักกดดันทิศทางราคาน้ำมันปรับตัวลงได้ต่อในระยะกลาง ในด้านอุปสงค์อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เรามองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC และ GULF) และหุ้นใน กลุ่มสายการบิน (AAV และ BA) ตามทิศทางราคาพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนมีโอกาสลดลงต่อเนื่องในระยะถัดไป

ในส่วนของปัจจัยในประเทศเรามองตลาดอาจเผชิญความไม่แน่นอนของทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติในระยะสั้น ในแง่ของค่าเงินบาทที่ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญในโซน 37.0 บาท ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติอาจระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้น เพื่อประเมินทิศทางค่าเงินได้อีกครั้ง ทั้งนี้เรายังคงมุมมองให้ระมัดะวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากตลาดหุ้นไทยที่อยู่เหนือระดับ 1,640 จุด ซึ่งถือเป็นโซนที่ Valuation ของตลาดในปัจจุบันจะเริ่มตึงตัวมากขึ้น โดย Forward PE เริ่มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 16 เท่า อยู่ในระดับ -0.5 S.D. ในปีนี้ คาดจะกดดันทิศทางตลาดได้ ซึ่งทำให้เราคาดว่าในระยะถัดไปต่อจากนี้อาจเห็นตลาด Rotate กลุ่มในตลาดหุ้นไทยจากกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนได้ดี ในช่วงก่อนหน้า อาทิ หุ้นในกลุ่มพลังงาน (PTTEP, TOP, SPRC และ BCP), ปิโตรเคมี (IVL และ PTTGC) และ โรงพยาบาล (BH และ BDMS) เข้าหาหุ้นในกลุ่มที่ยัง Laggard และมีแนวโน้มที่กำไรจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 4 อาทิ หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO), รับเหมา ก่อสร้าง (CK, STEC, ITD และ SYNTEC), สื่อ-โฆษณา (PLANB และ VGI) อาหารและเครื่องดื่ม (TKN, SUN, CFRESH และ ASIAN) และหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB และ BBL) ได้บ้าง

ขณะที่เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่เมื่อวานนี้รัฐบาลคาด 4Q65 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ระดับ 1.5 ล้านคน/เดือน ซึ่งจะทำให้คาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 10 ล้านคน/ปี ขณะที่คาดว่าใน ปี’66 การท่องเที่ยวไทยตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 32 ล้านคน/ปี คิดเป็นราว 80% ของช่วงก่อนเกิด COVID-19 มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้าที่ราว 50-60% คาดจะหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่มโรงแรม-ท่องเที่ยว สายการบิน (AOT, MINT, CENTEL, ERW, SHR, VRANDA, AAV และ BA) ปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง วันนี้คาดอาจเห็นแรงเก็งกำไร TRUE-DTAC จากคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ กสทช. ไม่มีอานาจในเกี่ยวกับเรื่องการควบรวมกิจการ ทำได้เพียงออกมาตรการควบคุมหรือเยียวยาเท่านั้น คาดจะหนุนแรงเก็งกำไร TRUE-DTAC ขึ้นสู่ราคา Tender ที่ 5.09 ตามลำดับ และ 47.76 บาทตามลำดับ

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนําวันนี้

กลยุทธ์

ซื้อเล่นสั้น AAV แนวรับ 2.86 / 2.82 Target 3.08 / 3.34 Stop <2.76

ซื้อเล่นสั้น VRANDA แนวรับ 7.10 / 7.00 Target 7.55 / 7.95 Stop <6.90

- Advertisement -