Our View? “เราอินดี้”

คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,640 / 1,635 และแนวต้านที่บริเวณ 1,650 / 1,655 คาดตลาดยังคงได้รับ Sentiment เชิงลบจากตลาดต่างประเทศ โดยยังคงได้รับแรงกดดันจากคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีแนวโน้มเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้อีก 1.25% โดยคาดจะขึ้นดอกเบี้ย อีก 0.75% ในเดือน พ.ย. และขึ้นอีก 0.50% ในเดือน ธ.ค. เพื่อดันอัตราดอกเบี้ยขึ้นสู่ระดับ 4.25-4.50% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ปี’66 มีแนวโน้มที่ FED จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงกว่า 4.50% ยาวจนถึงสิ้นปี คาดจะกระตุ้นความกังวลการปรับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยต่อเนื่อง อีกทั้ง ธนาคารกลางต่างทั่วโลกยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางฮ่องกงและธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ธนาคารกลางนอร์เวย์, อังกฤษ, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% คาดจะกดดันทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงได้ต่อ พร้อมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Bond Yield) ยังคงเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง คาดจะกดดันทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยง ในแง่ความน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม มองเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางหุ้นในกลุ่มประกัน (TLI และ BLA)

ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน พ.ย. เมื่อคืนนี้ยังคงปรับตัวผันผวนในกรอบแคบ ปิดที่ระดับ 83.49 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.55 ดอลลาร์ (+0.66%) จากความคาดหวังอุปสงค์ในจีนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Lockdown รอบใหม่แล้ว อย่างไรก็ตาม มองเป็นการรีบาวด์เพียงระยะสั้น เรายังคาดแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยตามการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ คาดจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลงยังเป็นปัจจัยหลักกดดันทิศทางราคานํ้ามันปรับตัวลงได้ต่อในระยะกลาง

ในส่วนของปัจจัยในประเทศระมัดระวังแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด หลังค่าเงินบาทปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 37.0 บาท คาดนักลงทุนต่างชาติอาจระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้นมากขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของเราก่อนหน้าให้ระมัดะวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากตลาดหุ้นไทยที่อยู่เหนือระดับ 1,640 จุด ซึ่งถือเป็นโซนที่ Valuation ของตลาดในปัจจุบันจะเริ่มตึงตัวมากขึ้น จาก Forward PE เข้าใกล้ระดับ 16 เท่า คิดเป็น -0.5 S.D. ในปีนี้ คาดจะกดดันทิศทางตลาดได้ ซึ่งทำให้เราคาดว่าในระยะถัดไปต่อจากนี้อาจเห็นตลาด Rotate กลุ่มในตลาดหุ้นไทยจากกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ หุ้นในกลุ่มพลังงาน (PTTEP, TOP, SPRC และ BCP), ปิโตรเคมี (IVL และ PTTGC) และโรงพยาบาล (BH และ BDMS) เข้าหาหุ้นในกลุ่มที่ยัง Laggard และมีแนวโน้มที่กำไรจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 4 อาทิ หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO), รับเหมาก่อสร้าง (CK, STEC, ITD และ SYNTEC), สื่อ-โฆษณา (PLANB และ VGI) อาหารและเครื่องดื่ม (TKN, SUN, TWPC, GFPT, TFG, CFRESH และ ASIAN) และหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB และ BBL) ได้บ้าง อีกทั้งเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่รัฐบาล คาด 4Q′65 จํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ระดับ 1.5 ล้านคน/เดือน ซึ่งจะทำให้คาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 10 ล้านคน/ปี ขณะที่คาดว่าในปี’66 การท่องเที่ยวไทยตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 32 ล้านคน/ปี คิดเป็นราว 80% ของช่วงก่อนเกิด COVID-19 มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้าที่ราว 50-60% คาดจะหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่มโรงแรม-ท่องเที่ยว-สายการบิน (AOT, MINT, CENTEL, ERW, SHR, VRANDA, AAV และ BA) ปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง สัปดาห์หน้าแนะนำติดตามการประชุม กนง. ในวันที่ 28 ก.ย. คาดจะขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% แต่ยังต้องติดตามท่าทีแนวโน้มในการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงปีหน้า รวมทั้งมุมมองของ กนง. ที่มีต่อเศรษฐกิจไทยต่อ

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนําวันนี้ “BBL”

กลยุทธ์ ซื้อสะสม แนวรับ 137.00 / 136.00 Target 140.50 / 150.00 Stop <135.00

- Advertisement -