Daily Focus: Domestic and Selective Play

2023 SET Target: 1760

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ทยอยซึมตัวลงต่อเนื่องตลอดวันและปิดลบ 13.58 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยหนุน และตลาดยังคงกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 560 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิหนาแน่น 2.7 พันลบ. (และ Short Index Futures สูงเกือบ 3.1 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังอยู่ในช่วงพักฐานลงหาระดับ 1,620+- จุด จากแรงขายสินทรัพย์เสียงทั่วโลกที่กดดันบรรยากาศการลงทุน ตลาดยังคงกังวลทิศทางเงินเฟ้อที่ยังสูง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับขึ้น กดดันให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวและอาจเกิด Recession ในปีหน้า โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯและยุโรป ส่วนเอเชียยังต้องติดตามจีนที่ตัวเลขเศรษฐกิจระยะหลังมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งอาจกระทบต่อไทยบ้างในฝั่งการส่งออก อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองว่า SET Index จะปรับลงจํากัดกว่าจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ทยอยเร่งตัวใน 2H22-2023 โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่กำลังจะเข้า High Season ใน 4Q22 คาดหนุนทั้งเศรษฐกิจและลดแรงกดดันบาทที่อ่อนค่าเร็วในระยะนี้ หุ้นในกลุ่ม Domestic และ Reopening Play คาดยังแกว่งตัวได้แข็งแรงกว่าตลาด ขณะที่การประชุมกนง. 2 ครั้งที่เหลือของปีคาดปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% หนุนกลุ่มธนาคารให้ Outperform ในระยะนี้ ส่วนจังหวะตลาดผันผวนและดัชนีพักตัวลงหาบริเวณ 1,600-1,610+- จุด เรามองเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้นเพิ่ม

กลยุทธ์ : ลงทุนใน Domestic และ Selective Play // รอสะสมหุ้นช่วงปรับฐาน 1,600-1,610+- จุด

หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : CPN, KTB, M, PRM, TU

หุ้นเด่นวันนี้ : JWD

  • แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท
  • แนวโน้มกำไร 3Q22-4Q22 จะดีขึ้นตามฤดูกาลและธุรกิจใหม่ที่เริ่มดำเนินการห้องเย็นโตดี มาก PACM Cold Storage เริ่มให้บริการ เม.ย. ปัจจุบันเต็ม 100% ห้องเย็นที่สระบุรีจะเริ่มให้บริการ ต.ค. นี้ ส่วน PACT ที่ร่วมกับ TU จะเปิด 1Q23 คลังสินค้ามี Occupancy Rate เต็มเกือบตลอดเวลา
  • Self-Storage จะเปิดสาขาเพิ่มเดือนละ 1 สาขาร่วมกับ CPN ตั้งเป้าพื้นที่ให้บริการ 1 แสน ตรม.ภายใน 5 ปี ผู้บริหารยังคงเป้ารายได้ 1 หมื่นลบ. Net margin 15% ภายในปี 2025 2026 เราเชื่อว่าเป็นไปได้ คงประมาณการกำไรปี 2022-2023 +32% Y-Y และ +15% Y-Y
  • แนวรับ 17.50//17 บาท แนวต้าน 18.50-18.70 บาท

Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนยังคงไหลออกจากภูมิภาคและเร่งขึ้นเป็น US$1,080 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$581 ล้านและ US$350 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินพลิกมาไหลออกทุกประเทศ นำโดยไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$51-73 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดยังอยู่ในทิศทางไหลออกจาก Bond Yield สหรัฐฯ และ Dollar Index ที่ยังพุ่งขึ้นสะท้อนแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังสูง ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้ม ชะลอตัว

ประเด็นสําคัญวันนี้

(0) สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมกนง. เราคาดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว และธปท.ประเมินว่าจะกลับไปใกล้เคียงช่วงก่อน COVID-19 ในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีเหลือการประชุมอีก 1 ครั้ง เราประเมินว่ากนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.25% ขึ้นเป็น 1.25% และคาดปี 2023 จะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งเป็น 1.75% เพื่อรักษาให้ Policy Gap กับธนาคารกลางอื่นไม่ให้ห่างมากเกินไป และอาจทำให้ กระแสเงินทุนไหลออกและบาทอ่อน ภาพรวมเรามองบวกต่อกลุ่มธนาคาร และยังคงชอบธนาคารที่มีสัดส่วนรายได้จากภาครัฐและ Corporate ที่สูง ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาขึ้นมากที่สุด และความเสี่ยง NPL ต่ำสุด เราชอบ BBL KTB

(+) ศบค.ยกเลิกพรก.ฉุกเฉินและยุบศบค. 30 ก.ย. นี้ โดยใช้พรบ.โรคติดต่อคุมแทน รวมถึงปลด COVID-19 ออกจากโรคติดต่อร้ายแรงเป็นโรคเฝ้าระวัง รวมถึงมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวทั้งการขยายวีซ่าจาก 30-45 วัน และขยาย Visa on Arrival จาก 15 เป็น 30 วัน หนุนต่างชาติฟื้นตัว และมีลุ้นแตะ 10 ล้านคนปีนี้ และคาดเร่งขึ้นเป็น 20 ล้านคนปีหน้า เรายังคงมองบวกต่อกลุ่ม Reopening Play โดยคาดปรับฐานลงจำกัด เรามองบวกต่อ AOT AAV CPN CENTEL CPALL M AU เป็นต้น

(+) กลุ่มยานยนต์ เริ่มฟื้น โดยยอดผลิตรถเดือน ส.ค. มีจำนวน 171,731 คัน +20% M-M, +65% Y-Y (ส.ค. 2021 มี Lockdown) เป็นเดือนที่ผลิตรถสูงเป็นอันดับ 2 รองจาก มี.ค. ที่ผ่านมา ยอดขายในประเทศโตแรง +7% M-M, +62% Y-Y แต่ส่งออกยังพื้นไม่ดีนัก ยอดผลิตรถงวด 8M22 +11% Y-Y (7M22 ยังโตเพียง 5% Y-Y) โดยเฉพาะยอดขายในประเทศ 8M22 +22% Y-Y ขณะที่ต้นทุนน้ำมันและปิโตรเคมีเริ่มปรับลง แนะนำซื้อ STANLY (ราคาเป้าหมาย ปี 2023 ที่ 240 บาท) ซื้ออ่อนตัว AH (ราคาเป้าหมาย 28 บาท)

 

(-) ตลาดดาวโจนส์ ปิด 29,590.41 จุด ลดลง 486.27 จุด หรือ -1.62% จาก ความกังวลว่าเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ FED ต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ ถูกกดดันจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มวัสดุ จากความกังวลภาวะเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางต่างๆ

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับลง ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากความกังวลเกี่ยวกับการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่าต่อเนื่อง อยู่ที่บริเวณ 37.53 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 4.75 ดอลลาร์ หรือ 5.7% ปิดที่ 78.74 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ Demand น้ำมันโลกลดลง

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 25.5 ดอลลาร์ หรือ 1.52% ปิดที่ 1,655.6 ดอลลาร์/ออนซ์ จากผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสหรัฐพุ่งขึ้น และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 947.23 / -2.90

- Advertisement -