ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป คาดผลประกอบการสูงเป็นประวัติการณ์ตั้งเป้าปี 2565 เติบโต 20% คึกคักรับการกลับมาของนักลงทุน มั่นใจเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมก้าวสู่การเป็น Tech Company ในปี 2567

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เผยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ทั้งสี่กลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในด้านบวกและแนวโน้มการลงทุนที่สดใส  โดยบริษัทฯ มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติ อยู่ที่ 4,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2565 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 86,400 ล้านบาท โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A-“

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป คาดว่าบริษัทฯ จะมีผลประกอบการสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2565  ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติจะอยู่ที่ร้อยละ 20 และกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เกินร้อยละ 40 โดยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ บริษัทฯ ยังตั้งเป้าที่จะขายสินทรัพย์ขนาด 208,000 ตร.ม. เข้ากองทรัสต์ WHART1  และ WHAIR2 มูลค่ารวม 5,400 ล้านบาท อีกด้วย

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราจะยังดำเนินการตามแผนโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในทุกกลุ่มธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะ ควบคู่ไปกับการรักษางบดุลที่แข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นของเรา ตามแผนกลยุทธ์การเติบโตและการลงทุนระยะเวลา 5 ปี ด้วยงบ 50,000 ล้าน”

แนวโน้มปี 2565 และอนาคตเติบโตยั่งยืน

  • กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ คาดว่า ปี 2565 จะเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ หลังจากผลประกอบการในครึ่งแรกของปีเป็นที่น่าประทับใจ และมีโครงการที่เตรียมส่งมอบในครึ่งหลังของปีอีกหลายโครงการ รวมไปถึงการเปิดตัวอาคารคลังสินค้าและอาคารสำนักงานมูลค่าสูงใหม่ ๆ โดยธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ ยังคงมุ่งมั่นเน้นการจัดหาบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า ด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ รวมถึงความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ

ในครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ได้ส่งมอบพื้นที่รวม 194,300 ตร.ม. แบ่งออกเป็นโครงการคลังสินค้าใหม่และสัญญาเช่าพื้นที่ใหม่จำนวน 98,200 ตร.ม. และสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 96,100 ตร.ม.ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบที่มีต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดความต้องการเช่าคลังสินค้าระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจจัดส่งสินค้าแบบด่วน รวมไปถึงตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL)  สำหรับในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2565 จะมีการส่งมอบโครงการคลังสินค้าใหม่ ๆ รวมพื้นที่กว่า 51,000 ตร.ม.  นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการคลังสินค้าดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ใหม่อีก 2 โครงการ และพื้นที่ส่วนต่อขยายของโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 (WHA Mega Logistics Center Theparak KM. 21) รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 420,000 ตร.ม.

ทั้งนี้ ธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอยังคงมองหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพต่าง ๆ เพื่อส่งมอบบริการที่มีมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า โดยขอบเขตที่อยู่ระหว่างการศึกษา ได้แก่ คลังสินค้าอัจฉริยะ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้ง และการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

หลังจากที่ได้ลงทุนถือหุ้นในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด (Storage Asia) ผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลระดับพรีเมียม และบริษัท จิซทิกซ์ จำกัด (Giztix) สตาร์ทอัพ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านอีโลจิสติกส์ แล้ว ล่าสุด ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังได้ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซอีก 2 แห่ง คือ บริษัท เมอร์คูลาร์ จำกัด (Mercular) สตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี และ บริษัท มั่งมี อีคอมเมิร์ซ จำกัด (Mungmee) สตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซ B2B ที่มุ่งปฏิวัติการค้าแบบดั้งเดิมของไทยให้ทันสมัยด้วยการใช้เทคโนโลยี และข้อมูลแบบบูรณาการเพื่อปรับระบบการ ทำงานของผู้ใช้งานให้เป็นรูปแบบดิจิทัล โดยการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเหล่านี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีเป้าหมายที่จะผสานความร่วมมือและกิจกรรมทางธุรกิจเข้ากับระบบนิเวศโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าระดับพรีเมียม

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ยังมีสำนักงานให้เช่าระดับเวิลด์คลาสพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและการออกแบบที่ยอดเยี่ยมถึง 6 แห่ง ในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ รวมพื้นที่ 100,000 ตร.ม. ซึ่งรวมถึงดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ ในย่านบางนา และ WHA KW S25 โครงการสำนักงานล่าสุด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในราวกลางปี 2566

  • กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ยังคงตอกย้ำตำแหน่งการเป็นผู้นำด้านนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย และขยายธุรกิจในเวียดนามให้เติบโตมากขึ้น โดยในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ถึง 513 ไร่

ในประเทศไทย บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมที่จะต้อนรับนักลงทุนด้วยพื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมขายกว่า 4,250 ไร่ ในทำเลยุทธศาสตร์ บริษัทฯ ได้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ไร่ ในขณะที่การก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ขนาด 573 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2565  และจะเริ่มก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนตุลาคมนี้

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินขนาด 600 ไร่ กับบริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี โดยคาดว่าโรงงานผลิตรถไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 150,000 คันต่อปี การขายที่ดินครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจกับนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเออย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ดีลครั้งนี้ยังยืนยันถึงบทบาทของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะบริษัทฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งคลัสเตอร์ยานยนต์ของประเทศไทยในพื้นที่อีอีซีตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีความภาคภูมิใจในการเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ถึง 277 รายจากทั่วโลก

ในประเทศเวียดนาม หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการในจังหวัดเหงะอาน ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังคงยุทธศาสตร์ในการขยายนิคมอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดหลักๆอย่างต่อเนื่อง   โดยในส่วนของเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ ได้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ครบครันด้วยโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อมคุณภาพสูงสุด โดยพื้นที่ร้อยละ 76 ของเฟสที่ 1 ได้ปล่อยเช่าให้กับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร พลังงานแสงอาทิตย์ วัสดุก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่ามากที่สุดในจังหวัดเหงะอาน ทั้งนี้จากการคาดการณ์ความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น บริษัทฯ จึงเร่งก่อสร้างเฟส 2 ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง

นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังวางแผนที่จะพัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 5,625 ไร่ รวมส่วนต่อขยายในจังหวัดถั่งหัว ซึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติโครงการ  จังหวัดถั่งหัวเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม และมีทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ใกล้กับกรุงฮานอยและท่าเรือน้ำลึกแหล็กเฮวี่ยน โดยโครงการ ‘WHA Smart Technology Industrial Zone – Thanh Hoa’ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองหลักของจังหวัด พร้อมที่จะรองรับความต้องการของนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูง และการขยายโครงการ ‘Northern Technology Corridor’ ของเวียดนาม

เมื่อเร็วๆ นี้ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 3 ของประเทศเวียดนาม ในจังหวัดกว๋างนาม บนพื้นที่ขนาด 2,500 ไร่ โดยโครงการ ‘WHA Smart Eco Industrial Zone – Quang Nam’ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ ใจกลางภาคกลาง ใกล้จังหวัดดานังและกว๋างหงาย ซึ่งในอนาคต โซนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ ตั้งเป้าที่จะรองรับอุตสาหกรรมไฮเทคสะอาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม การแพทย์ หรือโลจิสติกส์

  • กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ยังเดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม พร้อมขยายพอร์ทธุรกิจด้านพลังงานด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์

ด้านสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ยังคงเดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เช่น น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และน้ำปราศจากแร่ธาตุ   สำหรับประเทศไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 WHAUP มีปริมาณการจำหน่ายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและการบำบัดน้ำเสีย สูงขึ้นร้อยละ 10 เป็น 62.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 19 เป็น 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ WHAUP ยังได้สร้างโรงผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 กำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี   เฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่านั้น  WHAUP มีการพัฒนาโครงการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กรายใหม่ (SPP) แล้วเสร็จด้วยกำลังการผลิตรวม 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และยังมีการพัฒนาโรงงานผลิตน้ำปราศจากแร่ธาตุในนิคมอุตสาหกรรมเอเชียที่มีกำลังการผลิต 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ดำเนินการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว นอกจากนี้ WHAUP ยังได้เซ็นสัญญาซื้อขายน้ำกับลูกค้าที่ต้องใช้น้ำจำนวนมาก ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ อุตสาหกรรมการผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์

สำหรับประเทศเวียดนาม WHAUP มีโครงการน้ำที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 3 โครงการ3  ผลการดำเนินงานมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของของปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 12.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากมีฐานลูกค้าและพื้นที่ครอบคลุมการให้บริการน้ำประปามากขึ้น

ด้านพลังงาน ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังคงขยายพอร์ทการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในครึ่งแรกของปี 2565WHAUP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) จำนวน 62 เมกะวัตต์ ในขณะที่อีก 64 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังได้มีการลงนามโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมใหม่อีก 15 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 34 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ โครงการโซลาร์รูฟท็อปของบริษัท ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโซล่าร์รูฟท็อปที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มีกำลังการผลิต 19.4 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ภายในสิ้นปีนี้  โดยรวมแล้ว สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามทั้งหมดของโครงการโซลาร์รูฟท็อปคาดว่าจะสูงถึง 150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ WHAUP ได้ร่วมกับ PTT และ Sertis พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange (“RENEX”) ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานของผู้ใช้ในอุตสาหกรรม  โดยโครงการนี้ได้เข้าร่วมในโครงการ ERC Sandbox ของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน (ERC) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทที่เข้าร่วมโครงการสามารถซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างกันได้อย่างอิสระโดยตรงผ่านโครงข่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวกำลังเปิดตัวโดยมีลูกค้าชั้นนำกลุ่มแรกจำนวน 54 ราย ภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ เข้าร่วมโครงการ และขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่จะเริ่มขึ้นภายในปีนี้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ โครงการดังกล่าวจะยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทยด้วยการลดต้นทุนด้านพลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้นอีกด้วย

  • กลุ่มธุรกิจดิจิทัล เพิ่มศักยภาพธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงบริการและโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น

ภายในสิ้นปี 2565 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะวางไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) และพร้อมให้บริการแล้วเสร็จทั้ง 11 นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในประเทศไทย และยังมีการให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมสำหรับติดตั้งอุปกรณ์สำหรับรับและกระจายสัญญาณเครือข่าย 3G, 4G, และ 5G ภายในนิคมฯ ของดับบลิวเอชเอ โดยจะดำเนินการสร้างเสาโทรคมนาคมจำนวน 8 ต้นภายในปีนี้ ซึ่งลูกค้าที่จะเช่าเสาโทรคมนาคม ได้แก่ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมของไทย เช่น AWN, True และ Dtac นอกจากนี้ กลุ่มธุริกิจดิจิทัลได้มีการขายสินทรัพย์ประเภท ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) จำนวน2 แห่ง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยสร้างกำไรได้ถึง 345 ล้านบาท ปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงถือหุ้นร้อยละ 15 ใน Supernap  ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Tier IV

ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจดิจิทัลของดับบลิวเอชเอ ยังศึกษาและผลักดันการนำนวัตกรรมด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ  ซึ่งนอกจากการเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรแล้ว ธุรกิจดิจิทัลของดับบลิวเอชเอยังได้พัฒนาโซลูชันดิจิทัลของตัวเองอีกด้วย โดยได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน WHAbit เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงบริการ Telemedicine  (การให้บริการปรึกษาแพทย์ ผ่านทางเทคโนโลยีและการสื่อสารแบบ Video conference) ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของบริษัทฯ โดยได้จับมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชเพื่อส่งเสริมและพัฒนาโซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์

ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยี ในปี 2567 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้สร้างโรดแมพ ที่ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ส่งเสริมนวัตกรรมในสถานที่ทำงาน การปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างรากฐานด้านดิจิทัลให้กับองค์กร รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลและทักษะด้านนวัตกรรมให้กับพนักงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังมีการสำรวจเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว META W เมตะเวิร์สอุตสาหกรรมรายแรก ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทในยุคดิจิทัล

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในปี 2565 เรามองเห็นความก้าวหน้าอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ การเปิดประเทศอีกครั้ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ตามมาในยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19 ทำให้เราได้เห็นการกลับมาของนักลงทุน เห็นได้จากข้อตกลงใหญ่ ๆ และโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มต่าง ๆ ของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายของปี 2565 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ รวมถึงการปรับเป้ายอดขายที่ดินขึ้นเป็น 1,650 ไร่  ประการที่ 2 คือ การดำเนินการตามแผนการลงทุนระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 50,000 บาท     รวมถึงโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล ซึ่งจะปูทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต” พร้อมสรุปว่า “ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป พร้อมก้าวสู่อนาคตด้วยความมั่นใจ ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลา 30 ปี เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในปัจจุบันได้เปิดโอกาสใหม่ ๆ มากมาย และเรามุ่งมั่นที่จะคว้าโอกาสเหล่านั้นมาใช้ในกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของบริษัทฯ ทั้งลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนสังคมไทยโดยรวม”

**********************************

  1. ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART)
  2. ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล (WHAIR)
  3. โครงการน้ำ 3 โครงการ ประกอบด้วย WHA Industrial Zone 1 – Nghe An (ถือหุ้น 100%), โครงการบำบัดน้ำ Duong River Surface Water Treatment Plant (ถือหุ้น 34%) และโรงผลิตน้ำ Cua Lo Water Plant (ถือหุ้น 47%)

 

- Advertisement -