Daily Focus: Domestic and Selective Play

2023SET Target: 1760

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ด้วยความผันผวนที่ลดลง ตลาดรอจับตาการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญปม 8 ปี นายกฯ โดยดัชนีปิดลบอีกเล็กน้อย 2.86 จุด ณ สิ้นวัน สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นอีก 1.2 พันลบ.และ 1.4 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short Index Futures สูงถึง 5.5 หมื่นสัญญา ปิดสถานะ Long YTD แล้วทั้งหมด)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังอยู่ในช่วงพักตัวและแกว่ง Sideways to Sideways Down โดยมีแนวรับหลักที่ 1,580+- จุด ภาพรวมตลาดยังไร้ปัจจัยบวกเข้ามาหนุน ส่วนปัจจัยที่กดดันยังคงเป็นเงินเฟ้อที่ยังสูง กดดันให้ Bond Yield และอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในทิศทางขาขึ้นกดดันสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม SET Index พักฐานลงเกือบ 5% จากจุดสูงสุดในเดือน ก.ย. ซึ่งสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปพอสมควร ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจที่ทยอยเร่งตัว คาดยังเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยแกว่งแข็งแรงกว่าภูมิภาคอื่นๆ และมีโอกาสฟื้นตัวในระยะถัดไป จากแรงหนุนจาก High Season ของภาคการท่องเที่ยว หนุนหุ้นกลุ่ม Domestic และ Reopening Play ได้แก่ ท่องเที่ยว อาหาร ค้าปลีก ธนาคาร เป็นต้น ระดับดัชนีปัจจุบันยังอยู่ในโซนที่เราแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นบริเวณ 1,580+- จุด และถือระยะกลาง-ยาวรอการฟื้นตัวถึงปี 2023

กลยุทธ์ : ลงทุนใน Domestic และ Selective Play // สะสมหุ้นที่แนวรับหลัก 1,580+- จุด

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : BBL, BDMS, CK, CPALL, TU

หุ้นเด่นวันนี้ : CK

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท
  • คาดกำไร 3Q22 เร่งตัวทั้ง Q-Q และ Y-Y ตามการฟื้นตัวของธุรกิจรับเหมาฯ ล่าสุดรับงานคลองระบายน้ำและมีประเด็นบวกจาก BEM เป็นผู้ชนะรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งมีงานโยธาและงานระบบรวมกว่า 1.27 แสนลบ.และงานโรงไฟฟ้าหลวงพระบางอีก 8 หมื่น ลบ. คาดเซ็นในปลายปีนี้ ทำให้ Backlog จะทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 2.6 แสนลบ. ทยอยรับรู้รายได้เป็น S-Curve ตั้งแต่ปีหน้า
  • ส่วนธุรกิจลูกอย่าง BEM ฟื้นตัวตามการ Reopening CKP อยู่ในช่วง High Season และมีปันผลรับจาก TTW เราคาดกำไรปกติปี 2022 +8x Y-Y และเร่งตัว +64% Y-Y ในปี 2023
  • แนวรับ 21.40 บาท แนวต้าน 22.50//23 บาท

Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนเบาบาง ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$181 ล้าน แต่ไหลออกจากไต้หวัน US$144 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินผสมผสานไหลเข้าอินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่ไหลออกจากไทยและฟิลิปปินส์ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลออกแต่เบาบาง เนื่องจากหลายตลาดในเอเชียปิดทำการ

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) กลยุทธ์การลงทุนเดือน ต.ค. 22 เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,575-1,640 จุด โดยยังคงมีความผันผวน แต่คาด Downside แคบลง หลังปรับฐานแรงพอควรไปแล้ว จากแนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงและยาวนานกว่าที่เคยประเมิน หลังทราบผลการประชุม FED ECB และกนง.เดือนก่อน ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามส่วนใหญ่เป็นตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลก และผลประกอบการ 3Q22 ของกลุ่มธนาคาร เรามองจังหวะปรับฐานของดัชนียังเป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นกลับบริเวณแนวรับหลัก 1,580+- จุด และยังให้น้ำหนักบวกจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เป็นขาขึ้น โดยยังคงเน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic//Reopening Play เลือก Top Pick เดือนนี้ คือ BBL BDMS CK CPALL TU

(0) ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 8 ปีนายกฯ เริ่มนับ 6 เม.ย. 17 นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ทำให้สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อเนื่อง เรามีมุมมองเป็นกลาง เนื่องจากสถานการณ์ทุกอย่างอย่างคงเดิมเหมือนกันช่วงก่อนหน้า ทั้งครม. นโยบายต่างๆ ขณะที่การเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุด 7 พ.ค. 23 ตามที่กกต.ประกาศ กรณีไม่มีการยุบสภา ยังคงมองกลุ่ม Domestic Play แข็งแรงกว่า Global Play

(+) IPO ใหม่ POLY เป็นผู้ผลิต OEM ชิ้นส่วนยาง พลาสติก และซิลิโคนขึ้นรูป เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัทมีจุดเด่นคือคุณภาพสินค้าและบริการ และความสามารถในการผลิตแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการผลิตสินค้า และผลิตสินค้าจากวัตถุดิบได้หลายประเภท ทั้งยาง พลาสติก และซิลิโคน การกระจายแหล่งรายได้ช่วยลดผลกระทบจากการ Lockdown ใน 2Q20 และปัญหาห่วงโซ่อุปทานในปี 2021 แต่ต้นทุนน้ำมันที่สูงใน 1H22 กระทบอัตรากำไรขั้นต้นอยู่บ้าง แต่คาดว่ากำไรปี 2022 จะเติบโต +25% และเร่งตัวขึ้น +34% ในปี 2023 จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น และคาดโตต่อ +15% ในปี 2024 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย +24% CAGR (2022-2024) ประเมินราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 8.50 บาท (Finansia อาจเป็นผู้จัดจำหน่ายฯ)

 

(-) ตลาดดาวโจนส์ ปิดที่ 28,725.51 จุด ลดลง 500.10 จุด หรือ -1.71% หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ (Core PCE) ออกมาสูงกว่าคาด ซึ่งเป็นตัวเลขเงินเฟ้อที่สำคัญต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ FED

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก รีบาวน์ขึ้นหลังจากที่ลดลงอย่างรุนแรงในไตรมาส 3 ซึ่งถูกกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับลง ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ

(0) ค่าเงินบาท แกว่งตัวแคบ อยู่ที่บริเวณ 37.87 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.74 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ราคาปิด ณ. วันศุกร์ที่ 79.49 ดอลลาร์/บาร์เรล จากแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางหลายประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ Demand น้ำมันโลกลดลง

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 3.4 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ราคาปิด ณ. วันศุกร์ที่ 1,672 ดอลลาร์/ออนซ์ แรงหนุนจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 939.70 / -1.45

- Advertisement -