บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action TRADING (Downgrade)
TP upside (downside) +3.1%
Close Oct 3, 2022 Price (THB) 15.90
12M Target (THB) 16.40
Previous Target (THB) 24.50
What’s new?
- คาดผลประกอบการ 3Q65 รายงานกำไรสุทธิที่ 187 ล้านบาท (-2.6% QoQ, -3.8% YoY) ยอดขายยังเติบโตเด่นคาด +13.5% YoY แต่ GPM คาดที่ราว 4.3% หรือ 83 bps YoY ยังถูกกดดันจากฐานสูงและค่าเงินบาท
- เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2565/2566 ลง 3% และ 16% ตามลำดับ เราคาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 771 ล้านบาท ( 4.0% YoY)
Our view
- เราประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 16.40 บาทต่อหุ้น อิง PER18x
- เราแนะนำเพียง “TRAIDNG” เนื่องจากหุ้นจะยังมี Downside หากเศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรง หุ้นมีโอกาสถูกลดระดับการซื้อ ขาย เป็นระดับ -1SD หรือราว 11.00 บาทต่อหุ้น หากเกิดขึ้น เรามองเป็นจุดที่น่าสนใจเริ่มทยอยสะสมรอบใหม่
- เชิงกลยุทธ์ เรายังแนะนำให้รอคอยแรงกดดันของตลาดอีกราว 1 ไตรมาส
SYNNEX THAILAND ยังไม่ถึงเวลากลับเข้าลงทุน… รออีกสักไตรมาส
คาดผลประกอบการ 3Q65 ทรงตัวได้ QoQ แต่ไม่เติบโต YoY เป็นไตรมาสที่สอง
คาดกำไรสุทธิ 3Q65 ที่ 187 ล้านบาท (-2.6% QoQ, -3.8% YoY) ยอดขายยังเติบโตเด่นคาด +13.5% YoY แต่ GPM ยังถูกกดดันจากฐานสูงคาดที่ราว 4.3% หรือ 83 bps YoY ดังนี้
1) คาดรายได้หลักใน 3Q65 อยู่ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท (+5.3% QoQ, +13.5% YoY) รายได้ยังเติบโตได้แม้ตลาด Consumer Products จะเริ่มเห็นกำลังซื้อที่อ่อนแอลง แต่ตลาด Commercial Products ได้แรงหนุน จากการกลับมาทำงานที่ Office ทำให้เกิดการลงทุนด้าน Hardware IT และสินค้าระบบเครือข่าย (Network) นอกจากนี้ SYNEX ยังได้แรงหนุนจากการขาย APPLE เร็วขึ้นตั้งแต่ 16 ก.ย.65 หนุนยอดขายในแง่ YoY
2) คาดอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 4.3% (+4bps QoQ, -83bps YoY) อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจาก i) ค่าเงิน บาท/USD ที่อ่อนค่า และ ii) เงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของลูกค้า ยอดขายยังรักษาได้ แต่ต้องแลกมาด้วยการลดราคาสินค้า ประกอบกับตลาดในช่วง COVID-19 ลูกค้าแย่งกันซื้อสินค้าที่ขาดตลาด ทำให้บริษัทฯ มี Margin ที่สูงกว่าปกติ เราคาด GPM จะอ่อนแอไปอีกระยะจนกว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีขึ้น
3) คาด SG&A อยู่ที่ 245 ล้านบาท (+12.4% QoQ, -4.2% YoY) สูงขึ้น QoQ ส่วนหนึ่งมาจากการบริจาค สินค้าบางส่วน ซึ่ง SYNEX มีการบริจาคเป็นประจำไม่ใช่ประเด็นใหม่ แต่ 3Q65 มีการบันทึกสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ปรับลดประมาณการปี 2565-2566 สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
แม้แนวโน้มกำไรของ SYNEX ยังประคองตัวได้ดี และผู้บริหารคาดการเติบโตรายได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 15% YoY ในช่วง 9M65 แต่เราเริ่มเล็งเห็นปัจจัยเสี่ยงในระยะถัดไปดังนี้ 1) หากประมาณการ 3Q65 ของเราออกมา ตามคาด SYNEX จะไม่สามารถเติบโตกำไรในด้าน YoY ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง สะท้อน Demand ในตลาดสินค้า IT ที่เริ่มอ่อนแอลง และแรงกดดันจากค่าเงินบาท/USD และ 2) แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ Recession เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเศรษฐกิจทั่วโลกอ่อนแอ ในท้ายที่สุดย่อมต้องกระทบกับเศรษฐกิจไทย และจะกระทบให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ส่งผลให้ยอดขายของ SYNEX เติบโตได้ยาก ขณะที่ค่าเงินบาท/USD ที่ยังอ่อนค่าจะกระทบ GPM ให้ไม่เด่นเท่าอดีต
เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2565/2566 ลง 3% และ 16% ตามลำดับ เราคาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 771 ล้านบาท (-4.0% YoY) เรามองว่า SYNEX มีการกระจายรายได้ที่ดี และมีการเพิ่มสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เสมอ ดังนั้นแม้เจอภาวะกำลังซื้ออ่อนแอและแรงกดดันจากค่าเงินบาท/USD ก็น่าจะประคองกำไรได้ แต่การจะเติบโตเด่นเหมือนช่วงปี 3 ปีหลังสุดมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก
เราประเมินราคาเหมาะสมที่ 16.40 บาทต่อหุ้น … ยังไม่ถึงเวลากลับเข้าสะสม
อิง EPS ปี 2566 ของเราที่ 0.91 บาทต่อหุ้น เรามองว่า SYNEX จะยังไม่สามารถซื้อ ขาย สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตได้จากแนวโน้มกำไรทำได้เพียงประคองตัว ทำให้เราปรับมาใช้ค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 18x ในการประเมินมูลค่าหุ้น โดยค่าเฉลี่ยในอดีตที่เราใช้ครอบคลุมทั้งช่วงก่อนเกิด COVID-19 และช่วงที่ขายดีในช่วง COVID-19 แล้ว ทำให้เรามองว่าสมเหตุสมผลสำหรับการประเมินมูลค่าในระยะยาวของบริษัทฯ
เราประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 16.40 บาทต่อหุ้น อิง PER18x แม้หุ้นปรับลงมามาก แต่เรายังแนะนำเพียง “TRAIDNG” เนื่องจากหุ้นจะยังมี Downside หากเศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรง หุ้นมีโอกาสถูกลดระดับการซื้อ ขาย ไปที่ระดับ -1.0SD หรือคิดเป็นกรอบราคาเบื้องต้นที่ราว 11.00 บาทต่อหุ้น หากเกิดขึ้นเรามองเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการทยอยสะสมรอบใหม่
เชิงกลยุทธ์ ณ ระดับราคา +16.00 บาทต่อหุ้น เรายังแนะนำให้รอคอยแรงกดดันของตลาดอีกราว 1 ไตรมาส
ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ 1) ปรับตัวหรือพัฒนาสินค้าไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 2) ภาวะ Supply Shortage ลากยาวกว่าคาด 3) เศรษฐกิจชะลอตัวแรง และ 4) ค่าเงินบาท/USD อ่อนค่าต่อเนื่อง