รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

“ภาคการผลิตจีน-สหรัฐ,น้ำมันดิบอ่อนแรง,กังวลไวรัสเดลต้า”

• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้: VGI (จากซื้อเป็น Fully Valued)
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้ขยับขึ้น ปิด +3.19จุด ที่1525.11จุด มูลค่าบาง 66 พันลบ. ตลาดรีบาวด์คล้ายเพื่อนบ้านปิดใกล้ไฮ ดัชนีมีการรีบาวด์ตามคาด แม้ศบค.ประกาศข่าวลบขยายเวลามาตรการควบคุมโรคโควิด-19 แต่ดัชนีได้ปรับลงไปก่อนหน้า ไม่มีอะไรเหนือคาด ระหว่างวันตลาดหุ้นยุโรปและ DJ Future ปรับตัวขึ้นดี หุ้นใหม่วานนี้ AMR น่าผิดหวัง ปิดตลาดราคาเหนือจองน้อย 6.95 บ. สำหรับหุ้นที่ปรับขึ้นแรงคือIVL,KTB ปรับลงแรงคือ COM7 และ CPALL ต่างชาติซื้อสุทธิ0.9 พันลบ. รายย่อยขายสุทธิ1.6 พันลบ. YTD ต่างชาติขายสุทธิ92 พันลบ.

ปัจจัยบวก
ไทยตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีนเกินกว่าระดับ 50% หรือ 50 ล้านรายภายใน ส.ค.64 จากวันที่1 ส.ค.64 มีการฉีดได้ถึง1.81 แสนโดสในวันเดียว และยอดสะสมเป็น 17.9% อีกทั้งองค์การเภสัชกรรมเริ่มผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ที่วิจัย พัฒนาและผลิตได้เอง
วุฒิสภาสหรัฐกำลังผลักดันร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้านดอลลาร์โดยไบเดน หากสำเร็จ คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันให้ GDP สหรัฐปีนี้เติบโตได้ถึง 7% ตามที่ IMF คาด

ปัจจัยลบ
ดัชนีภาคการผลิตก.ค.สหรัฐลดสู่59.5 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. และต่ำกว่านักวิเคราะห์คาด และดัชนีPMI ภาคการผลิตจีนเดือน ก.ค.ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน
ตัวเลขผู้ติดเชื้อไทยวันนี้สูงขึ้นจากวันก่อนหน้าเป็น 18,901ราย เสียชีวิต147ราย แต่ไม่ทำ New High แต่สิ่งที่ดีคือ หายป่วยกลับบ้านได้สูงมากเป็น 18,590 ราย

ปัจจัยที่น่าติดตาม
วานนี้กลุ่มหลักทรัพย์กำไร 2Q64 โดดเด่น MBKET และ ASP กำไรโตก้าวกระโดด y-o-y (มักเพียงเก็งกำไรช่วงสั้น) แต่ THCOM พลิกขาดทุน เทียบ y-o-y กำไรสูง พรุ่งนี้มีการประชุม กนง. 4 ส.ค.64 นี้ แม้คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำแต่ติดตามถ้อยแถลงภาพเศรษฐกิจ
การแถลงอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค.ของกระทรวงพาณิชย์และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ค. โดย ม.หอการค้าไทย และการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่26-28 ส.ค.นี้

# กลยุทธ์: คาด SET ผันผวนทางลง ภาคการผลิตจีน-สหรัฐ,น้ำมันดิบอ่อนแรง,กังวลไวรัสเดลต้า,ไทยติดตามวัคซีน ต่างประเทศไม่สดใสนักทั้งเรื่องภาคการผลิตจีน และสหรัฐที่ลดลง และกลับมากังวลผลกระทบจากไวรัสเดลต้า ยังผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับลงมาก ระยะนี้ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐชะลอลง สังเกตได้จากบอนด์ยิลด์ 10 ปีตกลงมาเหลือ 1.19% และดัชนีดอลลาร์อ่อนลง ดัชนีกังวล Vix เพิ่มเป็น 19.5จุด

ส่วนปัจจัยในประเทศก็ไม่สดใส จากการขยายเวลามาตรการฯ ส่งผลลบกับเศรษฐกิจและกำไร บจ.ให้ลดลงได้ให้ระวังจุด Stop Loss ถัดไปที่ 1520 จุด หากหลุดให้Trim Port ไปบางส่วนเพื่อรับด้านล่าง หลักทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร และพลังงานดิ่งลง ยกเว้นวานนี้รีบาวด์สั้นๆ ยังมีการเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการ 2Q64 วันนี้เป็นคราว ADVANC คาดว่ากำไรอยู่ในเกณฑ์เปลี่ยนแปลงน้อย แต่ตลาดฯยังมองดีเกี่ยวกับปันผลระหว่างกาลยิลด์ประมาณ 1.8% ราคาหุ้นปรับขึ้นดีต่อเนื่อง แนะนำ ซื้อ เพื่อการลงทุน ราคาพื้นฐาน 222 บาท

อีกกลุ่มที่ฝ่ายวิจัยฯยังมองดีคือ การแพทย์ ในเรื่องผลการดำเนินงาน Top Pick คือ BDMS และ EKH สำหรับกลุ่ม Property Fund & REITs ดีในเรื่องปันผลสูง และยิลด์ สเปรดที่มาก หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลด Top Pick เดือนนี้คือ AIMIRT,HREIT และ DIF ระยะสั้นกลุ่มหุ้นเปิดเมือง คาดว่าจะยังอ่อนแอ แต่กลุ่มที่ได้รับผลลบน้อยล็อกดาวน์ คือ ส่งออก,เดินเรือ,เกษตร-อาหาร เป็นต้น

# Stock Pick Today: CK คาดว่าใกล้ประกาศรถไฟทางคู่ สำหรับสายเด่นชัย-เชียงราก-เชียงของ CK เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด 2 สัญญาในนาม JV CKSTDC รวม 46.3 พันล้านบาท คาดว่าจะเป็นส่วนของ CK ค่อนข้างมาก อีกทั้งงานในมือ (Backlog) มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น จากการทยอยเปิดประมูลเมกะ โปรเจ็กต์เช่นรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก และม่วงใต้รวมมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาทคาดว่าอัตราการเติบโตกำไรปี64-65 ที่สูงมีแรงสนับสนุนมาจากกำไรของบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย เช่น CKP และ BEM กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่22.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธีDCF

#วิเคราะห์ทางเทคนิค:ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เหมือนๆจะเปลี่ยนเป็นบวกเล็กๆ {“ปิดบวกเล็กน้อย”ใต้“SMA10วัน” (โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แต่“ค่าบวก”(ถ้ามี/ มี“Oversold + Divergenceในกราฟรายนาที”หนุน) จึงช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้แนวต้าน 1530 –1540 (หรือ1550) จุด {แนวตัดขาดทุน“ต่ำกว่า 1520” (แนวเด้งสั้น“1510 – 1500 /1480”) จุด}

Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com

Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
– สหรัฐ: วิตกผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
# นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ขณะที่ภาครัฐและเอกชนของสหรัฐได้ประกาศกฎระเบียบใหม่ในการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้พนักงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยแม้ว่าจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม และมีบริษัทหลายแห่งออกกฎบังคับให้พนักงานต้องฉีดวัคซีนก่อนที่จะเข้ามาทำงานในออฟฟิศ

– สหรัฐ: ดัชนีภาคการผลิตก.ค.ลดสู่ 59.5 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และต่ำกว่านักวิเคราะห์คาด
# ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 59.5 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.9 หลังจากแตะระดับ 60.6 ในเดือนมิ.ย. โดยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่

+ สหรัฐ: วุฒิสภากำลังผลักดันร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้านดอลลาร์โดยไบเดน
# วุฒิสภาสหรัฐกำลังผลักดันร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์โดยประธานาธิบดีโจไบเดนเชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน American Jobs Plan จะช่วยสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในสหรัฐขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวแข็งแกร่งถึง 7% ในปีนี้หากมีการบังคับใช้กฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งริเริ่มโดยคณะบริหารของปธน.ไบเดน

– จีน: ดัชนีPMI ภาคการผลิตจีนเดือนก.ค.ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน
# ผลสำรวจซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซินระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.ของจีนร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15เดือน เนื่องจากอุปสงค์ในภาคการผลิตปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปีอันเนื่องมาจากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ดัชนีPMI ภาคการผลิตของจีนเดือนก.ค.ร่วงลงแตะระดับ 50.3จากระดับ 51.3 ในเดือนมิ.ย. โดยดัชนีPMI เดือนก.ค.อยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่51.1

-/+ ยุโรป: PMI ภาคการผลิตยูโรโซนปรับตัวลงเล็กน้อย บ่งชี้อุตสาหกรรมยังขยายตัว
# ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า กิจกรรมในภาคการผลิตของยูโรโซนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนก.ค เนื่องจากการเปิดเศรษฐกิจส่งผลให้อุปสงค์เพิ่มขึ้น แต่ปัญหาคอขวดฝั่งอุปทานส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าพุ่งสูงขึ้น รายงานระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนก.ค. ลดลงสู่ระดับ62.8จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย.ที่63.4แต่อยู่เหนือตัวเลขคาดการณ์เบื้องต้นก่อนหน้านี้ที่ระดับ 62.6

– ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดลบ 97.31 จุด กังวลไวรัสเดลตา-ศก.สหรัฐชะลอตัว
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้(2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาและการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากข่าวความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐ

– ตลาดน้ำมัน: WTI ปิดร่วง $2.69 วิตกภาคการผลิตสหรัฐ-จีนชะลอตัว
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้(2 ส.ค.) หลังจากสหรัฐและจีนเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแรงลงในเดือนก.ค. นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน

• ตลาดทองคำ: ทองปิดบวก 5 ดอลลาร์ขานรับดอลล์อ่อน-บอนด์ยีลด์ร่วง
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้(2 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้ และการประชุมของเฟด ปลายเดือน ส.ค.64
# นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย., ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนก.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนมิ.ย., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย. รวมทั้งการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่26-28 ส.ค.นี้

ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
– สธ.เผยการล็อกดาวน์ของไทยขณะนี้มีประสิทธิภาพในการล็อกดาวน์ที่เพียง 20%
# ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่าสถานการณ์การล็อกดาวน์ของประเทศไทยในขณะนี้มีประสิทธิภาพในการล็อกดาวน์อยู่ที่20% อย่างไรก็ตาม หากจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อให้มากกว่านี้มีความจำเป็นต้องมีประสิทธิภาพในการล็อกดาวน์ให้อยู่ที่25% ดังนั้นในช่วงการขยายการล็อกดาวน์วันที่ 3-18 ส.ค.นี้สธ.ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนให้ปฎิบัติตามมารตรการอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องการเดินทาง และความระมัดระวังในการป้องกันเชื้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการล็อกดาวน์และเพื่อแนวโน้มผู้ติดเชื้อที่ลดลง

+ องค์การเภสัชกรรมเผยเริ่มผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ที่วิจัย พัฒนา และผลิตเอง
# องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เผยเริ่มผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ที่มาจากการวิจัย พัฒนา และผลิตเอง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายใต้ชื่อ ฟาเวียร์โดยในเดือน ส.ค.64 จะดำเนินการผลิตแบบบรรจุแผงจำนวน 2.5 ล้านเม็ด และจะเพิ่มการผลิตแบบบรรจุใส่ขวด คาดว่าจะได้รับอนุมัติแบบบรรจุขวด จาก อย.ภายในเดือนส.ค.นี้จากนั้นในเดือน ก.ย.จะผลิตยาได้จำนวน 23 ล้านเม็ด และตั้งแต่เดือน ต.ค.64 เป็นต้นไปจะสามารถผลิตได้ไม่น้อยกว่า 40 ล้านเม็ดต่อเดือน

• สัปดาห์นี้ติดตามการประชุม กนง., แถลงอัตราเงินเฟ้อ ก.ค.ของกระทรวงพาณิชย์
# สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) การแถลงอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค.ของกระทรวงพาณิชย์และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. โดย ม.หอการค้าไทย

+ GULF จะเทนเดอร์ฯ INTUCH สำเร็จไหม ถึง 27 ก.ค.64 ยังได้หุ้นมาในสัดส่วนที่น้อย
# INTUCH แจ้งว่า ณ วันที่ 27 ก.ค.64 GULF เทนเดอร์ฯได้หุ้นมาเพิ่ม 9.92% เมื่อรวมกับที่ถือไว้เดิมคือ 18.93% รวมเป็น28.85% หากเทียบกับที่จะทำอีก 81.07% ก็ถือว่ายังทำได้น้อย แต่จุด Critical Point ที่สำคัญคือ GULFจะต้องได้มากกว่า50% จึงจะถือว่าดีลนี้สำเร็จ

# ผลกระทบ: ถือว่ายังต้องรอติดตาม เพราะจะทำเทนเดอร์ฯ ได้ไปจนถึง 4 ส.ค.64 แต่ก็มีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าผู้ถือหุ้นอันดับ 1 คือ Singtel Global Investment PTE.LTD ซึ่งถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 21% จะไม่ทำเทนเดอร์ฯ และมีอีกหนึ่งเรื่องคือ หลังวันที่ 4 ส.ค.64 ราคาหุ้น INTUCH จะอ่อนตัวลงมาหรือไม่ เพราะหมดเวลาการทำเทนเดอร์ฯแล้ว หรือราคาหุ้นจะไม่ตก เพราะนักลงทุนมั่นใจในพื้นฐานระยะยาว แต่เราคาดว่าราคาหุ้นจะมีการอ่อนตัวลงมาบ้าง

ทั้งนี้ราคาพื้นฐาน INTUCH ตาม IAA Consensus อยู่ที่63.00-74.00 บาท ราคาเฉลี่ย 68.45 บาท และคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี64 อยู่ที่3.9% ดังนั้นผู้ที่ต้องการลงทุนใน INTUCH ก็ควรจะเป็นการลงทุนในระยะยาวมากกว่า สำหรับราคาปิด INTUCH วานนี้อยู่ที่ 64.50 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับราคาเทนเดอร์ฯที่65.00 บาท แต่หากเกิดเรื่องพลิกผัน GULF เทนเดอร์ฯ ไม่สำเร็จ ก็คาดว่าจะมีผลทางลบกับราคาหุ้นในระยะสั้นได้

- Advertisement -