บล.บัวหลวง:

DITTO (Thailand) (DITTO TB/DITTOM.BK)

DITTO – ธุรกิจสีเขียวสร้างการเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืน

มีหลายคนเคยกล่าวว่า “เทคโนโลยีจะแยกเราออกจากสิ่งแวดล้อม” แต่นั่นไม่จริงเสมอไป DITTO ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมแก้ไขปัญหา ไม่ใช่การสร้างปัญหาผ่านโครงการเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งเรามองว่าเทคโนโลยีสีเขียวจะเป็นธีมการลงทุนที่ใหญ่ซึมหนึ่งในศตวรรษที่ 21

เทคโนโลยีสีเขียว – การเดินทางครั้งใหม่กับจุดหมายใหม่

ในวันที่ 15 ก.ย. DITTO ประกาศเซ็นสัญญาโครงการคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่าชายเลนกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยบริษัทจะได้สัมปทานพื้นที่ทั้งหมด 11,448 ไร่สำหรับการปลูกป่าชายเลนในระยะเวลาสัญญา 30 ปี ในด้านผลตอบแทน 10% ของคาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการนี้จะเป็นของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อีก 90% จะเป็นของ DITTO) DITTO จะเริ่มโครงการดังกล่าวในปี 2566 และจะใช้ระยะเวลา 3 ปี ก่อนที่จะได้รับคาร์บอนเครดิตในปี 2569 (1 แสนตัน/ปี) โดยคาดงบการลงทุนในปีแรกจะอยู่ที่ 160-170 ล้านบาท และจะมีค่าบำรุงรักษาอยู่ที่ราว 30 ล้านบาท/ปี

อิงจากตลาดต่างประเทศ เช่น ยุโรป ราคาคาร์บอนปัจจุบันอยู่ที่ 70 ยูโร/ตัน คาร์บอน (ปรับตัวขึ้นจาก 15-20 ยูโร/ตันคาร์บอนในปี 2563 และเคยทำจุดสูงสุดที่ 100 ยูโรในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา) หากอิงจากราคาที่ 70 ยูโร/ตันคาร์บอน เราคาดโครงการนี้จะสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้กับ DITTO ที่ 230 ล้านบาทในปี 2569 และอีกสําหรับ 26 ปีที่เหลือ เทียบกับกำไรในปัจจุบันของ DITTO ที่ 300-400 ล้านบาท/ปี (คิดเป็นอัพไซด์ 50%)

เส้นทางการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ – ประเทศไทยพร้อมหรือยัง??

ประเทศไทยประกาศที่จะเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และจะปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2608 ในการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะปล่อยคาร์บอนถึง 370 ล้านตันในปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนลง 20% มาเป็น 120 ล้านต้น (เทียบกับที่ลดได้ 50-60 ล้านตัน/ปี ในช่วงปี 2560-63) ปัจจุบันมี 136 โครงการที่ลงทะเบียนในแพลตฟอร์มสําหรับคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการลดคาร์บอนที่ราว 13.5 ล้านตัน/ปี หรือเพียง 3% ของการปล่อยคาร์บอนของประเทศไทย (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการใช้คาร์บอนเครดิตทั่วโลกที่ครอบคลุม 23% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก อ้างอิงจากรายงาน State and Trends of Carbon Pricing ของ World Bank

ทําไมแนวโน้มของอุปสงค์ (และราคา) จึงสดใส?

EY คาดปริมาณซื้อขายของคาร์บอนเครดิตจะเพิ่มขึ้นไปอีก 30-40 เท่าของอุปทานปัจจุบันภายในปี 2578 และคาดว่าราคาคาร์บอนเครดิตอาจจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ราว 80-150 เหรียญสหรัฐ/ตันคาร์บอน ในปี 2578 และน่าจะขึ้นไป อยู่ที่ราว 150-200 เหรียญสหรัฐ/ตันคาร์บอน ในปี 2593 ขณะที่ Bloomberg Market Specialists ประเมินว่าราคาคาร์บอนจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 224 เหรียญสหรัฐ/ตัน ภายในปี 2572 ภายใต้กฎที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ทั้งนี้ราคาคาร์บอนเครดิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีความแตกต่างกันไปตามประเภทของโครงการ การประเมินโดย S&P Global Platts ชี้ให้เห็นว่า เครดิตจากโครงการดูดซับ (เช่น การปลูกป่า) มีราคาสูงกว่าเครดิตจากโครงการอื่นๆ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าไม้เพื่อให้ครอบคลุม 55% (หรือ 187 ล้านไร่) ของประเทศภายในปี 2580 เพื่อที่จะมีกำลังการดูดซับคาร์บอนเพียงพอสำหรับ 120 ล้านตันคาร์บอน (เทียบกับ 30% ในปัจจุบัน) ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โดยรวมเราคาดอุปสงค์ต่อคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ขณะที่อุปทานจำกัดมาก

- Advertisement -