บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

A. J. Plast PCL คาด GPM ดีต่อเนื่อง…ปรับประมาณการขึ้น

Action

BUY (Upgrade)

TP upside (downside) +19.8%

Close Aug 2, 2021 Price (THB) 19.20

12M Target (THB) 23.00

Previous Target (THB) 22.50

What’s new?

  • คาดกาไรปกติ 2Q64 ท่ี 172 ล้านบาท (+2.9% QoQ,+1.0YoY) โดยได้รับแรงหนุนจาก 1) ค่าเงินบาทที่ อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง 2) ปริมาณขายที่เติบโตขึ้น และ 3) อัตรากำไรขั้นต้นที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
  • ปรับประมาณการปี 2564-65 ขึ้นป็น 563 ล้านบาท (+16.2%YoY) และ 633 ล้านบาท (+12.4%YoY) จากราคาวัตถุดิบท่ีลดลงจากช่วง มี.ค.-เม.ย. และการลงทุนขยายกำลังผลิตเพิ่มเติม 8.7 หมื่นตันต่อปีในปี 2565

Our View

  • หลักคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 ที่ 23.00 บาทต่อหุ้น อิง PBV 2.0 เท่า มี Upside Gain +19.8%
  • AJ กำลังอยู่ระหว่างยื่นคำร้องให้กรมการค้าระหว่างประเทศประกาศใช้มาตรการ AD กับสินค้าประเภทฟิล์มพลาสติก BOPP โดยเดิมมีกำหนดได้ข้อสรุปในช่วง 3Q64 แต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้มีการขยายระยะเวลาพิจารณาออกไป คาดได้ข้อสรุปภายใน 1Q65

ผลประกอบการ 2Q64 เติบโตต่อเนื่อง

คาดรายได้ 2064 ที่ 2,191 ล้านบาท (+8.4%QoQ, +16.6% YoY) เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยแรงหนุนจาก 1) ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องใน 1H64 ซึ่งส่งผลให้รายได้ต่อหน่วยของ บริษัท ฯ เพิ่มขึ้น และ 2) ปริมาณขายรวมของบริษัท ฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามอุปสงค์ของตลาด คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 14.9% ทรงตัวจาก 1Q64 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์ฟิล์มประเภท Polypropylene ปรับตัวสูงขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์ฟิล์มประเภท Polyethylene ปรับตัวลดลง คาดค่าใช้จ่าย SG&A ที่ 145 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 136 ล้านบาทใน 1Q64 และ 127 ล้านบาทใน 2Q63 ตามปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น คาดรายได้อื่น ๆ ของ บริษัท ฯ ที่ 30 ล้านบาทลดลง QoQ เนื่องจากรายได้จากการขายเศษฟิล์มที่สูงกว่าปกติใน 1Q64 เราจึงคาดกำไรปกติ 2264 ที่ 172 ล้านบาท (+ 2.9% QoQ, + 1.0% YoY) และหากผลประกอบการ 2004 ออกมาตามคาดกำไรปกติ 1H64 จะเป็นสัดส่วน 60.1% ของประมาณการทั้งปี

ปรับประมาณการปี 2564-65 ขึ้นหลังราคาวัตถุดิบปรับตัวลง

เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2564 ขึ้นราว 21.3% เป็น 563 ล้านบาท (+16.2%YoY) จาก 1) ปัจจุบันราคาเม็ดพลาสติก PP ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 1,200 – 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน จากระดับ 1,400-1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ในช่วงเดือนมี. ค. เม.ย. และมีความผันผวนน้อยลง AJ จึงสามารถปรับราคาขายให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ปริมาณการนำเข้าฟิล์มพลาสติกของประเทศไทยยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากในแต่ละประเทศมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ฟิล์มพลาสติกในระดับสูง ประกอบกับค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มผู้ใช้งานฟิล์มพลาสติกหันมาซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศมากขึ้นนอกจากนี้ บริษัท ฯ มีความเสี่ยงต่ำที่จะได้รับคำสั่งให้หยุดการดำเนินงานหากรัฐบาลประกาศใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของ AJ ส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ซึ่งจำเป็นต้องมีการผลิตอย่างต่อเนื่องสำหรับปี 2565 เราปรับประมาณการขึ้นราว 17.6% เป็น 633 ล้านบาท (+12.4%YoY) แม้สถานการณ์ COVID-19 ในเวียดนามจะส่งผลให้กำหนดการ COD ของบริษัทร่วมทุนในเวียดนามล่าช้าออกไปเป็น 2566 แต่ในปี 2565 บริษัท ฯ ได้มีการเปิดโรงงานแห่งที่สองเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดย AJ ได้สั่งเครื่องจักร Metallizer กำลังผลิต 7-8 พันตันต่อปี เครื่องจักรผลิตฟิล์ม BOPP กำลังผลิต 4 หมื่นตันต่อปี และเครื่องจักรผลิตฟิล์ม BOPET กำลังผลิต 4 หมื่นตันต่อปีเข้ามาเพิ่ม มีกำหนดส่งมอบในช่วง 1H65, 2H65 และ 4Q65 ตามลำดับ

ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 เป็น 23.00 บาท มี Upside เหลืออีกมาก

เราปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 ขึ้นเป็น 23.00 บาท/หุ้นอิง PBV ที่ 2.0x มี Upside gain +19.8% และในปัจจุบัน บริษัท ฯ กำลังรอผลการยื่นคำร้องต่อกรมการค้าต่างประเทศให้ประกาศใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาด (AD) กับผลิตภัณฑ์ฟิล์มพลาสติก BOPP โดยเดิมมีกำหนดได้ข้อสรุปในช่วง 3Q64 แต่มีการขยายระยะเวลาพิจารณาเนื่องจากการตรวจสอบทำได้ยากเพราะมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 คาดจะได้ข้อสรุปภายใน 1Q65 ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”

 

- Advertisement -