- ปักหมุดผู้นำการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสู่ระดับสากล
- เตรียมรับโอกาสทางธุรกิจ หลังเทรนด์ Pet Humanization เติบโต
- เดินหน้าขยายกำลังการผลิต 1 เท่าตัว ตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจแกร่ง
AAI ปิดเทรดวันแรกที่ 8.90 บาท สูงขึ้น 60.36% จาก IPO บล.ทิสโก้ ในฐานะเป็น FA ประเมินมูลค่าเป้าหมายปี 66 7.70 บาท หรือมูลค่าตลาด 16,400 ล้านบาท ถือเป็นหุ้นไทยตัวแรกที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง เดินหน้าแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิต 1 เท่าตัว หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจแกร่ง มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดี พร้อมเดินหน้าปักหมุดสู่ผู้นำการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสู่ระดับสากล เตรียมรับโอกาสทางธุรกิจตามเทรนด์ Pet Humanization ที่เพิ่มสูงขึ้น รุกสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนของโลก
หุ้นน้องใหม่ AAI บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ปิดเทรดวันแรกที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 3.35 บาท (+60.36%) มูลค่าซื้อขาย 7,406.25 ล้านบาท จากราคา IPO ที่ 5.55 บาท โดยราคาเปิดที่ 7.90 บาท ราคาสูงสุด 9.00 บาท ราคาต่ำสุด 7.30 บาท
บล.ทิสโก้ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นสามัญของ บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) ให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ประเมินมูลค่าราคาเป้าหมายปี 66 ของ AAI ที่ 7.70 บาท หรือมูลค่าตลาด 16,400 ล้านบาท จากการประเมินวิธีหุ้นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศและภูมิภาคได้ PER23F 19.2X เทียบเท่า PEG23F ที่ 1.3X โดยคาด net profit growth 15% (CAGR3Y) และคาด Dividend Yield ปี 66 ที่ 3.6%
จากการคาด AAI จะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง หลังจากขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรองรับตลาดการส่งออกที่มีขนาดใหญ่และมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยการประเมินค่าของเราค่อนข้างอนุรักษนิยมจากค่าเฉลี่ย PEG ยังต่ำกว่าตลาดในประเทศและภูมิภาคอยู่ที่ PEG23F ที่ 1.9X
นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายเป็นวันแรก (1 พฤศจิกายน 2565) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ชื่อย่อ ‘AAI’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ที่จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ด้วยศักยภาพของบริษัทฯ และพื้นฐานการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ ทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนให้ AAI เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ
บริษัทฯ มีเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสู่ระดับสากล โดยให้ความสำคัญและมุ่งมั่นพัฒนาฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาโดยตลอด เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่โดยตลอดได้เป็นอย่างดี ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์และความพร้อมด้านบุคลากรของฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จนได้รับการยอมรับจากลูกค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์ จนสามารถยกระดับสถานะจาก “ผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์” (Co-developer) เป็น “คู่ค้าเชิงกลยุทธ์” (Strategic Partner) ตลอดจนเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทฯ ในระยะยาว
AAI พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างความสามารถการแข่งขันในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและรักษาอัตรากำไรของบริษัทฯ ในระยะยาว โดยพัฒนาแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของตนเองขึ้นหลากหลายแบรนด์ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกตลาดย่อย (Market Segment) และมีผลิตภัณฑ์ครบทุกประเภท ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด และขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญในการทำการตลาดและทำการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ผลิตภัณฑ์ (Brand Awareness) และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ (Brand Image) ให้แก่ผู้บริโภคในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายภายในประเทศ โดยเน้นขยายตลาดผ่านร้านค้าสัตว์เลี้ยงและโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันวางจำหน่ายแล้วมากกว่า 500 ร้านค้าทั่วประเทศ พร้อมมุ่งมั่นในการพัฒนาแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกอีกทางนึง
กรรมการผู้จัดการ AAI กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าทำรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่รายได้รวม 5,036 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตตามอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีดีมานด์ความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกระแสความนิยมการเลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization) ซึ่งเจ้าของสัตว์เลี้ยงมักยอมจ่ายสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงของตนเองมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ AAI มีแผนขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แบ่งออกเป็น 1) โครงการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกในประเทศไทย โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 40,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่า จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสูงสุด 42,000 ตันต่อปี ซึ่งจะทยอยเพิ่มกำลังการผลิตตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565-2568 โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการใช้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ประมาณ 600 – 700 ล้านบาท และส่วนที่เหลือมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 2) โครงการลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติ (Auto Warehouse) แห่งที่ 2 ภายในปี 2566 โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 400 – 500 ล้านบาท สามารถจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15,000 – 20,000 พาเลท 3) เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวนไม่เกิน 700 – 800 ล้านบาท ภายในไตรมาส 4/2565 และ 4) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ
นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ Head of Investment Banking Capital Market บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า AAI เป็นหุ้นไทยตัวแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง จึงมีกระแสตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างมากในช่วงการจองซื้อหุ้น IPO ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานทางธุรกิจแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ AAI ยังให้ความสำคัญกับการปฎิบัติตามแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง ภายใต้กลยุทธ์ CHEERS! ซึ่งจะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญต่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิดที่ว่า บริษัทฯ จะเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบในทุกกระบวนการทางธุรกิจ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากแหล่งวัตถุดิบที่ไม่ขัดต่อแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) ผ่านกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปฎิบัติต่อคู่ค้าอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ตลอดจนการจัดประเมินผลคู่ค้า เพื่อพัฒนาการประกอบธุรกิจระหว่างกันอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับทิศทางการพัฒนาความยั่งยืนของโลก และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม