รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

ยังคงมุมมองหุ้นไทยและเอเชียอ่อนแอกว่าหุ้นตะวันตก
ตัวเลขการจ้างงานและการลด QE จะยังเป็นประเด็นกดดันหุ้นเอเชีย ตัวเลขผู้ข้อรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงและภาวะขาดแคลนแรงงานในสหรัฐฯ คาดจำทำให้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมาแข็งแกร่ง สนับสนุนภาพการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่แม้จะยังไม่มากพอจะปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่มีโอกาสเริ่มดำเนินการปรับลดการผ่อนคลายทางการเงิน (ลด QE)

ล่าสุด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เริ่มเปิดเผยแผนในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อคืนพันธบัตร ทำให้เราประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อยู่ในช่วงนับถอยหลังที่จะเริ่มดำเนินการลด QE เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ตลาดให้ความสำคัญกับการประชุมเฟด 21-22 ก.ย.มากขึ้น

การล็อคดาวน์จะกดดันการบริโภคและดัชนีหุ้น GDP ไทยมากกว่า 50% มาจากการบริโภค ดังนั้นการล็อคดาวน์ที่อาจจะยืดเยื้อไปจนถึง สิ้นก.ย. จะทำให้กิจกรรมในระบบเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ และเพิ่มความเสี่ยงด่านต่ำสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ขณะที่แรงส่งของหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีแรก จะเริ่มลดลงเนื่องจากการฟื้นตัวในครึ่งปีหลังของประเทศต่างๆ จะเริ่มเกิดขึ้นที่ภาคบริการ ทำให้เรายังคงมุมมองระมัดระวังและ downside ขแงหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่ 1,450-1,520 จุด โดยให้น้ำหนักกับการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในระดับต่ำกว่า 1,500 จุด

GULF เข้าถือหุ้น INTUCH 42.25% หลัง Tender offer บริษัทมีหุ้นอยู่แล้ว 18.93% และได้เพิ่มจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender offer) อีก 23.32% ทำให้ถือหุ้นรวม 42.25% ภาพรวมเรามองบวกต่อผลผนึก (synergy) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามแม้จะมีข้อดีที่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดและมีอำนาจควบคุมนโยบายสำคัญ

อีกทั้งไม่ต้องซื้อหุ้นมากเกินไปทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย แต่การถือหุ้นต่ำ 50% ทำให้อาจจะมีปัญหาในการทำงบรวม เนื่องจากต้องพิสูจน์อำนาจในการควบคุมกิจการ หรืออาจทำงบรวมได้แบบตามสัดส่วน (Proportional consolidation) ซึ่งแม้จะยังคงทำให้หนี้สินต่อทุน (D/E) ของ GULF ลดลง แต่ความสามารถในก่อหนี้เพิ่มจะต่ำกว่าการทำงบรวมได้ทั้งหมด (ประมาณการเบื้องต้น D/E จาก 2.51 เท่า จะเหลือ 2.07 เท่า ขณะที่หาก full consolidation จะเหลือ 1.69 เท่า) ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท

ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดี ในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART / เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT / ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW / กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC / เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL / เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ / เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC / กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้แนวโน้มผลประกอบการดี แต่เพิ่มความระวังความผันผวนและจากความเสี่ยงการผลิตอาจกระทบหากมีพนักงานติดโควิด

ภาพรวมกลยุทธ์: เป็นลบหลังพยายามฟื้นได้ไม่เกิน 1,550 และกลับมาปรับลงต่ำกว่า 1,535 จุด ย้ำภาพเชิงลบในระยะกลาง ใช้จังหวะดีดตัวในการขายเพิ่มการถือเงินสด และยังเน้นเพียงเลือกเก็งกำไรรายตัวระหว่างรอจุดซื้อที่ดี // หุ้นแนะนำ: KEX*, TTA*, TK*, SVI*
แนวรับ: 1,525/ แนวต้าน : 1,535-1,550 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%
ประเด็นการลงทุน

BOE เปิดเผยแผนลดวงเงิน QE. แบงก์ชาติอังกฤษเผยจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับ 0.5% โดยจะไม่นำรายได้จากพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษที่ครบกำหนดอายุกลับมาลงทุนใหม่ และจะเริ่มขายพันธบัตรที่ถือครองอยู่ออกไปเมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับ 1.0%

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก.ค.64ทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์. ลดลงมาอยู่ที่ 40.9 จาก 43.1 ในเดือน มิ.ย. โดยทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และยังคงลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 รับความกังวลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอก 3-4

PTTEP. หวังบรรลุข้อตกลงเข้าพื้นที่เอราวัณภายใน 1-2 เดือน ติดตั้ง 8 แท่นการผลิต มูลค่ากว่า $200 ล้าน คาดกำลังการผลิตช่วงรอยต่อเหลือ 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เตรียมนำกำลังผลิตแหล่งบงกช-อาทิตย์มาเติมและนำเข้า LNG มาเสริมอีก 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สำหรับงบครึ่งปีหลังคาดโตรับแนวโน้มราคาขายก๊าซที่เพิ่มขึ้น

ค่าระวางเรือ – ดัชนี Baltic Dry Index (BDI) ปิดที่ 3,376 จุด +1.75% ค่าระวางเรือขนาดใหญ่มาก (Capesize) +2.62% / ค่าระวางเรือขนาดใหญ่ (Panamax) +1.86% / ค่าระวางเรือขนาดกลาง (Supramax) +0.44% / ค่าระวางเรือขนาดเล็ก (Handysize) +0.07%

ประเด็นติดตาม: – 6 ส.ค.: US Employment Report / 11 ส.ค.: MSCI Rebalance / 25 ส.ค.: Thailand Focus

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

- Advertisement -