รอบด้านตลาดหุ้น: วันนี้คาดดัชนี ลงแล้วรีบาวด์
Market wrap & Outlook
- วานนี้ดัชนีดิ่งลง จากแรงขายหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF EA GPSC BGRIM (กังวลต้นทุนขึ้น บาทกลับมาอ่อน) และอื่นๆ AOT BDMS SCC CPN AWC สวนทางกับแรงซื้อกลุ่มธนาคาร SCB KBANK KTB และหุ้นบวกแรง เช่น KAMART AQUA TC KISS
- วันนี้คาดดัชนี ลงแล้วรีบาวด์ และไม่หลุดแนวรับระยะสัปดาห์ที่เรา ประเมิน 1,610 จุด สัปดาห์นี้ตลาดเกิดภาพการ Consolidated ตามที่เราคาด โดยเรายังคงยืนยันเป็นการสร้างฐานเพื่อเล่นขึ้นต่อ สำหรับหุ้นที่เล่นดีกว่าตลาดในช่วงตลาดพักฐาน ยังคงเป็นการเลือกหุ้น กลางเล็กที่มีประเด็นหนุนรายตัว ซึ่งวันนี้เรายังคง Run trend สำหรับหุ้นที่แนะไปเมื่อวาน อย่าง JASIF THCOM ตลอดจนหุ้นที่เคยเรียกซื้อในช่วงก่อนหน้า…
What to watch
- MS ออกรายงาน Outlook ปี 2023 คาดตลาดเกิดใหม่ จะยังคงสดใสกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว, และมองทิศทางเงินเฟ้อโลกผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ดอกเบี้ย เฟด จะแตะระดับสูงสุดไตรมาสแรกปีหน้า และจะเริ่มเห็นการส่งสัญญาณผ่อนคลายดอกเบี้ย ไตรมาส 4 ปีหน้า
- FTSE ประกาศทบทวนดัชนีฯ 18 พย.นี้
- สอท.เสนอลด ค่า AP (Availability payment) โรงไฟฟ้า (เรามองเป็นเรื่องปกติที่เอกชนจะเรียกร้องการขอลดต้นทุน แต่ภาครัฐจะเอาด้วยหรือไม่นั้น ก็อีกเรื่องหนึ่ง) คาดแค่กดดัน Sentiment ระยะสั้นเท่านั้น
หุ้นแนะนำวันนี้
- JASIF ข่าว BBL คงข้อเสนอลดดอกเบี้ยให้กรณีเปลี่ยนมือผู้ถือหน่วยเป็น AIS (ที่มาข่าวหุ้น)
- BRR หุ้นน้ำตาลส่วนใหญ่บวกดีรับงบที่ดีเกินคาด เช่น KSL KBS เหลือ BRR ที่งบดีไม่แพ้กันแต่ราคายังไม่ค่อยขึ้นตามกลุ่ม ขณะที่ PE trailing BRR อยู่แค่ 6 เท่า VS KSL 11.7 เท่า
- PLANB พื้นฐานการเติบโต โดดเด่นสุดในกลุ่ม
Technical Daily (T)คัดหุ้นกราฟสวย….สู้ตลาดปรับฐาน
แนะนำ ซื้อ
SCB แนวรับ 104-105 แนวต้าน 110 และ 113 (Stop loss < 103)
SYNEX แนวรับ 17.0-17.2 แนวต้าน 19 และ 20 (Stop loss < 16.8)
VGI แนวรับ 4.1-4.2 แนวต้าน 4.5 และ 4.7 (Stop loss < 4.0)
Global Investing Brief: หุ้นเวียดนามพลิกฟื้นตัว หลังรัฐบาลเล็งช่วยกลุ่มธนาคาร อสังหาฯ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
- เมื่อคืนนี้ 3 ดัชนีหลักเริ่มอ่อนลง โดยดัชนี DJIA ลบ 0.1%, S&P 500 ลบ 0.8% และ Nasdaq ลบ 1.5% กดดันจากกลุ่มผู้ผลิตชิป Intel (INTC) -3.8%, Nvidia (NVDA) -4.5% หลัง Micron Technology (MU) ประกาศแผนปรับลดการผลิตชิปและลดค่าใช้จ่าย ด้านผลการเลือกตั้งกลางเทอมออกมาเป็นแบบ divided government หรือ ครองเสียงข้างมากกันคนละสภา แม้การนับคะแนนจะยังไม่เสร็จสิ้น แต่พรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมาก 218 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรคเดโมแครตได้คะแนนเสียง 50 ที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งเรามองว่าจะเกิดปัญหาเงินเฟ้อน้อยลง เพราะการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะทำได้ยากขึ้น
- Target (TGT) -13.1% หลังเผยงบ F3Q66 รายได้โต 3%YoY สู่ $26.5bn และกำไรต่อหุ้นหดตัว 49%YoY สู่ $1.54 แย่กว่าที่ตลาดคาด หลังได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อและมีการระบายสินค้าคงคลังที่ช้ากว่าคาด ขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิมโต 2.7%YoY ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.2%YoY ทั้งนี้ บริษัทปรับลดคาการณ์ยอดขายจากสาขาเดิมทั้งปีบัญชี 66 ลงสู่ 1-2%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.1%YoY และเผยว่าบริษัทมีแผนลดค่าใช้จ่าย $3bn ใน 3 ปีข้างหน้าเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจถดถอย ด้าน Bloomberg Cons. ให้ TP ที่ $192.38
ตลาดหุ้นฮ่องกง
- วานนี้ดัชนีฮั่งเส็งพักตัว 0.5% เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังปรับขึ้นราว 13% ใน 3 วันที่ผ่านมา กดดันจาก Xiaomi (1810) -3.1%, Meituan (3690) -2.5% หลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 20,199 ราย ในวันที่ 15 พ.ย. 65 ซึ่งอาจส่งผลให้มีการขยายเขตการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น ด้าน JD.com (9618) เผยว่ายอดขายสินค้ารวม (GMV) ในช่วงโปรโมชั่น 11.11 ทำสถิติสูงสุดใหม่จากปีก่อน แต่ยังไม่มีการเผยตัวเลข โดยในปีก่อนอยู่ที่ RMB349bn
- Tencent (700) เผยงบ 3Q65 รายได้หดตัว 2%YoY สู่ RMB140,093mn แย่กว่าตลาดคาด ขณะที่กำไรต่อหุ้นโต 1%YoY สู่ RMB3.31 ดีกว่าตลาด โดยรายได้ธุรกิจเกมในต่างประเทศโต 3%YoY ชดเชยรายได้เกมธุรกิจในประเทศที่หดตัว 7%YoY ทั้งนี้ Tencent ประกาศจ่ายปันผลพิเศษระหว่างกาลเป็นหุ้นสามัญของ Meituan (3690) ราว 958 ล้านหุ้น (มูลค่า HKD155bn) หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล 5.5% สูงกว่าในปีก่อนที่ปันผลเป็นหุ้น JD.com (9618) ที่ 3% ด้าน Bloomberg cons. ให้ TP Tencent ที่ HKD398.75
ตลาดหุ้นเวียดนาม
- วานนี้ดัชนี VN ปิดบวกเด่น 3.4% หลังปรับลงราว 4% ในช่วงต้นของการซื้อขายภาคเช้า นำโดย DGW +7%, MWG +7%, BID +7% หลังมีรายงานว่ารัฐบาลและธนาคารกลางเวียดนามจัดประชุมพิเศษเมื่อ วันที่ 15 พ.ย. 65 เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือปัญหาการออกหุ้นกู้ในกลุ่มธนาคารและอสังหาฯ โดยทางรัฐบาลมีความต้องการที่จะช่วยเหลือด้านสภาพคล่องของกลุ่มดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทางโบรกเวียดนาม HSC รายงานว่าอาจมีการปรับเพิ่มโควต้าการเติบโตของสินเชื่อ (Credit Quota) ให้แก่ธนาคารพาณิชย์เป็นโต 16% จากเดิมที่คงไว้ที่โต 14% ในปีนี้
- FPT ที่มีสัดส่วน 7.6% ในดัชนี VN 30 และ 16.6% ในดัชนี VN Diamond ดัชนีอ้างอิงของ DR E1VFVN3001 และ FUEVFVND01 เผยงบ 10 เดือนแรกของปี รายได้โต 24%YoY สู่ VND35,105bn และกำไรโต 31%YoY สู่ VND4,550bn โดยรายได้ธุรกิจให้บริการซอฟต์แวร์โต 24%YoY สู่ VND20,047bn หนุนจากรายได้การให้บริการในญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น 26.4%YoY ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อใหม่ในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 20%YoY สู่ VND1,467bn ส่งผลให้ทั้งปีเพิ่มขึ้น 41%YTD สู่ VND18,266bn
Highlight
BYD ที่มีสัดส่วน 1% ในดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของ DR CN01 ประกาศจับมือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังในญี่ปุ่น Daihatsu Motor โดย BYD จะจัดหาแบตเตอรี่รถยนต์ EV ให้ Daihatsu รวมไปถึงจะอนุญาตให้ Daihatsu Motor เข้าถึงเทคโนโลยีเซลล์ต่อแพ็ค (cell-to-pack) ซึ่งคือเทคโนโลยีที่ทำให้แบตเตอรี่จุพลังงานได้มากขึ้น คาดเป็นปัจจัยบวกหนุนรายได้ BYD ในระยะยาว
Greed & FearBarometer: มาตรวัดความโลภและความกลัว
Overview:
Sentiment Indicator อ่อนแอลงหลังจากที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องมาสี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ สัญญาณที่แย่ลง ได้แก่ ดัชนี Bull-to-Bear ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากแตะระดับ Upper-bound ในสัปดาห์แรกของเดือน พ.ย. และความผันผวนของตลาดที่กลับมาเพิ่มขึ้น
มาตรวัดความโลภและความกลัว (Greed & Fear Barometer):
จิตวิทยาในตลาดหุ้นมักถูกผลักดันด้วยสองอารมณ์หลัก คือ ความโลภและความกลัว โดยเมื่อยิ่งมีอารมณ์โลภมาก (Extreme Greed) หรือ อารมณ์กลัวมาก (Extreme Fear) ขึ้นเท่าใด การตัดสินใจด้วยเหตุผลก็มักจะลดลงไปเท่านั้น เช่น เมื่อเกิด Extreme Greed นักลงทุนก็อาจจะไล่ซื้อหุ้นมากจนเกินไปโดยไม่สนใจราคา ในขณะที่เวลาเกิด Extreme Fear ก็จะขายหุ้นมากเกินไปด้วยความตื่นตระหนก ดังนั้นหากอารมณ์ตลาดยิ่งเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเท่าใด โอกาสที่ดัชนีจะสวิงกลับไปในทิศทางตรงกันข้ามก็มากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุที่ภาวะ extreme นั้น มักทำให้เกิดการซื้อหรือขายมากเกินไป (Overbought/ Oversold)
BLS Greed & Fear Barometer คำนวณมาจากเครื่องชี้วัดดังต่อไปนี้ 1) Bull-to-Bear 2) Momentum Strength 3) Yield Spread (Bond vs Equity) 4) Market Volatility 5) Market Breadth และ 6) Volume Index