3 โบรกเกอร์ประสานเสียง จับตาน้องใหม่ IPO “KTMS” น่าลงทุน ชี้เป้าราคาเหมาะสม 4 – 4.12 บาท แสกนรายได้ – กำไรเติบโตเฉลี่ย CAGR 56.9% ต่อปี
3 โบรกเกอร์ ( บล.พาย – บล. โกลเบล็ก – บล. เอเชีย เวลท์ ) ประสานเสียง ประเมินราคาเป้าหมายหุ้นน้องใหม่ IPO “KTMS” (บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส) ป้ายแดง ในช่วง 4 – 4.12 บาทต่อหุ้น ชูจุดเด่นการเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และติดตั้งระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่มีคุณภาพ ความชำนาญและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พร้อมระบุ ธุรกิจมีอัตราการเติบโตสูง ขณะที่กำไรช่วงปี 2565 – 2566 คาดว่าอยู่ที่ระดับ 18.2 ล้านบาท และ 41.3 ล้านบาทตามลำดับ ส่งซิกแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย CAGR 56.9% ต่อปี หลังระดมทุนขยายการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางการเติบโตทางธุรกิจของ บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (“KTMS”) ผู้ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รวมทั้งการขายและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อย่างครบวงจรด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล โดยมีทีมวิศวกร ทีมแพทย์ และทีมพยาบาลไตเทียมที่มีคุณภาพ ความชำนาญและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 กลุ่มบริษัทมีหน่วยไตเทียม จำนวน 20 สาขา และเครื่องไตเทียม จำนวน 254 เครื่องครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัย มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงาน และกำไรสุทธิในปี 2565 มองว่า มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยการเติบโตของธุรกิจฟอกไต จากนโยบายของภาครัฐ และจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงแผนการขยายสาขาจาก 20 แห่งในไตรมาส 3/2565 เป็น 34 สาขาในปี 2566 อีกทั้งยังมีจำนวนเครื่องไตเทียมเพิ่มขึ้นจาก 254 เครื่องในไตรมาส 3/2565 เป็น 377 เครื่องในปี 2566 นอกจากนี้บริษัทมีจุดแข็งด้านทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านไตเทียม และการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไตเทียมครบวงจร ทำให้มองว่า KTMS มีความสามารถเชิงการแข่งขัน และได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดในระยะยาว
จากปัจจัยในข้างต้น ส่งผลให้ทางบล.พาย คาดการณ์การเติบโตของกำไรโต (CAGR) 50% (2564-2567 ) จากการคาดการณ์การเติบโตของ KTMS ที่คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 20% ในปี 2565 และการเติบโตจะเร่งขยายตัวขึ้นเป็น 124% และ 29% ในปี 2566 – 2567 จากการรับรู้รายได้การขายและบริการเพิ่มขึ้น 28% CAGR (2564-2567) รวมทั้งการเติบโตของกำไรขั้นต้นที่ 32%CAGR และคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 20%, 22%, 22% ในปี 2565-2567 อีกทั้งคาดการณ์ EBIT Margin ทรงตัว YoY ที่ 8.1% ในปี 2565 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น11.4%/11.8% ในปี2566-2567 ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยประเมินราคามูลค่าพื้นฐาน 4.00 บาท ด้วยวิธี PE multiple ใช้กำไรต่อหุ้นปี 2566 ที่ 0.15 บาท และกำหนดเป้าหมาย PE ปี 2566 ที่ 26.1 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ประเมินมูลค่าเหมาะสม ของ KTMS โดยให้ Prospective PER 30.0 เท่า สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลุ่ม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 26.7 เท่า เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการของบริษัทฯในช่วงปี 2565-2566 คาดจะเติบโตสูงเฉลี่ย CAGR 56.9% ต่อปี เทียบกับกลุ่มที่คาดจะหดตัวเฉลี่ย CAGR -9.6% ต่อปี โดยคาดการณ์กำไร สุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 66 ราว 0.14 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมราว 4.12 บาท
ทั้งนี้ประเมินรายได้จากการดำเนินงานช่วงปี 2565-2566 ราว 360.2 ล้านบาท และ 529.6 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย CAGR 30.8% ต่อปี มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจากธุรกิจให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่คิดเป็น 75% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการให้บริการโดยการขยายสาขาจากเดิมอีก 14 สาขา และเพิ่มจำนวนเครื่องไตเทียมอีก 123 เครื่องภายในปี 2566 ส่วนกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ คิดเป็น 25% ของรายได้รวม มีแนวโน้มเติบโตควบคู่ไปกับการขยายสาขาในโรงพยาบาล
ขณะที่สมมติฐาน %GPM ช่วงปี 2565-2566 คาดการณ์ไว้ที่ 19% และ 20.50% และมีแนวโน้มการ เติบโตดีขึ้นจากช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 18.4% จากแผนขยายสาขาแบบคลินิกเพิ่มขึ้นในปี 66 ซึ่งมี %GPM ดีกว่าสาขาแบบหน่วยไตเทียม ส่วน %SG&A/Sales คาดจะปรับลงมาที่ 13.6% และ 11.6% จากค่าเฉลี่ย 3 ปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.5% จาก Economies of Scale ส่งผลให้คาดการณ์กำไรช่วงปี 2565-2566 ราว 18.2 ล้านบาท และ 41.3 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย CAGR 56.9% ต่อปี
บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ ประเมินราคาเป้าหมาย ปี 2566 ของ KTMS ไว้ที่ 4.00 บาท ด้วยวิธี PE Ratio เทียบกับ PE Ratio ของบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับ KTMS ได้แก่ RJH (รพ.ราชธานี โรจนะ และมีคลินิกโรคไต รวมทั้งมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าประกันสังคม) LPH (รพ. ลาดพร้าว ให้บริการด้านการแพทย์ และธุรกิจให้บริการรักษาพยาบาลทั่วไป รวมทั้งมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าประกันสังคม) และ RPH (รพ.ราชพฤกษ์ ให้บริการทางการแพทย์ และคลินิกไตเทียม รวมทั้งมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าประกันสังคม) ได้ค่า PE เฉลี่ยอยู่ที่ 25.4 เท่า PE ปี 2566 เทียบกับ EPS ปี 2566 ที่ประเมินไว้ที่ 0.157 บาท
ด้านผลประกอบการ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 21.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.3% YoY โดยหลักจากการเติบโตของรายได้จากการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ซึ่งมากกว่า 60.78% มาจากรายได้จากกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลรัฐ การเติบโตของรายได้จากการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิ 9 เดือน อยู่ที่ 16.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117.2% YoY ทำให้กำไรสุทธิ 9 เดือน คิดเป็น 74.5% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 โดย ณ สิ้น 3Q65 มีจำนวนสาขาสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม อยู่ที่ 20 สาขา เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 ที่ 18 สาขา มีจำนวนเครื่องไตเทียม ณ สิ้น 3Q65 อยู่ที่ 254 เครื่อง เพิ่มขึ้น 11.4% จากสิ้นปี 2564 และอัตราการครองเตียงสำหรับการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่งไตเทียมอยู่ที่ 88.96% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ 85% ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2565 จะอยู่ที่ 21.8% เพิ่มขึ้นจาก 20.4% ในปี 2564
ขณะที่ แนวโน้มผลประกอบการปี 2566 ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ตามแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทระหว่างปี 2565-2566 โดยเฉพาะ 2 โครงการลงทุน (เงินลงทุนส่วนหนึ่งมาจากเงินที่ได้จากการออกหุ้น IPO ในครั้งนี้) ได้แก่ (1) โครงการลงทุนในสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เพื่อขยายสาขาเพิ่มอีก 14 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็น Outsource จำนวน 8 สาขา และ Stand-alone จำนวน 6 สาขา ซึ่งจะทำให้บริษัทมีเครื่องไตเทียมเพิ่มขึ้น 123 เครื่อง (ทยอยเริ่มปี 2565-2566) และ (2) โครงการลงทุนในโรงงานผลิตน้ำยาไตเทียมและศูนย์บริการวิศวกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้า ลดต้นทุนและประหยัดระยะเวลาในการขนส่ง ทำให้คาดว่าปี 2566 บริษัทจะมีรายได้รวมเติบโต 52% YoY และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 21.8% จึงคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 47.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143.8% YoY