บล.ฟิลิป:

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป – MAJOR ปี 64 ธุรกิจยังยากลำบาก แต่ปี 65 คาดจะกลับมาฟื้นตัวเด่น

คาด 2Q64 ขาดทุนลดลงจากการ Lockdown ที่เข้มงวดน้อยกว่าปีก่อน

คาดขาดทุน 2Q64 อยู่ที่ 256 ล้านบาทลดลง 46.1% y-y จาก 2Q63 ที่ขาดทุน 475 ล้านบาท คาดรายได้ปรับตัวขึ้น 108.4% y-y เป็น 434 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อนมีการ Lockdown ทั่วประเทศ ทำให้ต้องมีการปิดโรงภาพยนตร์ทั้งหมดตั้งแต่ 31 มี.ค. ก่อนที่จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง 1 มิ.ย. ประกอบกับช่วงดังกล่าวไม่มีภาพยนตร์ใหญ่จากฮอลลีวูดเข้าและภาพยนตร์ไทยก็ถูกเลื่อนฉาย ในขณะที่ปีนี้มีการประกาศ Lockdown เฉพาะในเขตพื้นที่สีแดงเข้มที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตั้งแต่ 26 เม.ย. ใน 6 จังหวัดก่อนที่จะขยายจังหวัดทำให้สิ้น 2Q64 มีการปิดโรงภาพยนตร์ไปราว 55% ของจำนวนโรงทั้งหมด 812 โรง ประกอบกับในช่วงต้น มี.ค. มีภาพยนตร์ใหญ่ “ก็อดซิลล่าปะทะคอง” เข้าฉาย คาดรายได้จากตัวภาพยนตร์ +155% y-y ซึ่งก็ทำให้รายได้ที่เกี่ยวข้องกับโรงภาพยนตร์โตขึ้นเช่นกัน ทั้งโฆษณาอาหาร/เครื่องดื่มที่ได้ปรับกลยุทธ์การขายป๊อปคอร์นไปยังพื้นที่นอกโรงภาพยนตร์และ e-Commerce ช่วยทำให้ยอดขายอาหาร/เครื่องดื่มเติบโตดีมาก ในขณะที่ต้นทุนปรับตัวขึ้นต่ำกว่าและ SG&A ทรงตัวจากการควบคุมค่าใช้จ่าย และการเจรจาขอลดค่าเช่าจากเจ้าของพื้นที่ ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อมาเป็นสภาพคล่อง แต่บริษัทร่วมยังคงมีส่วนแบ่งกำไรให้อย่าง SF ที่ประกาศกำไร 2Q64 โต 37% y-y เข้ามาช่วยลดผลขาดทุนจากธุรกิจปกติลง

3Q64 ยังยากลำบาก แต่จะได้สภาพคล่องก้อนใหญ่จากการขาย SF และติดตาม 4Q64 จะกลับมาเปิดดำเนินการได้เมื่อไหร่

3Q64 การระบาดของ COVID-19 ที่ต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น ทำให้รัฐบาลประกาศพื้นที่สีแดงเข้มที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข็มงวดเพิ่มขึ้นเป็น 29 จังหวัดทำให้ตั้งแต่ 2 ส.ค. ปิดโรงภาพยนตร์เกือบ 100% ซึ่งจะส่งผลกระทบหนักกว่าใน 2Q64 ในขณะที่ยังต้องบันทึกค่าเช่าไปก่อนจนกว่าจะมีการเจรจาลดค่าเช่ากับเจ้าของพื้นที่ได้สำเร็จ ถึงจะมีการกลับรายการค่าเช่าการดำเนินงานปกติ คาดว่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้น q-q และ y-y แต่จะได้สภาพคล่องก้อนใหญ่และบันทึกกำไรจากการขายหุ้น SF ให้กับ CPN เข้ามาช่วยโดยมูลค่าขายรวมที่ 7,766 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิหลักหักภาษีที่ 2,824 ล้านบาท จึงพลิกกลับมามีกำไรที่สูงมากในขณะที่คาดหวังว่า 4Q64 จะสามารถกลับมาดำเนินงานได้หากรัฐบาลสามารถเร่งฉีดวัคซีนและสถานการณ์คลี่คลายดีขึ้น ซึ่งมีภาพยนตร์ใหญ่จากฮอลลีวูดรอเข้าฉายอยู่แล้ว

ปี 2565 จะเป็นปีที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ

ผลบวกของการเร่งฉีดวัคซีนน่าจะเห็นชัดในปี 2565 ทำให้การกลับมาดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติมากขึ้น ประกอบกับภาพยนตร์ใหญ่จากฮอลลีวูดจะมีบางส่วนที่เลื่อนฉายจากปี 2564 ไปปี 2565 ในขณะที่ปี 2565 เดิมภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายก็ดีไม่แพ้ในปี 2564 อีกทั้งการขาย SF จะนำเงินบางส่วนไปชำระคืนหนี้จะส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง และบริษัทมีสถานะเป็น Net Cash ซึ่งก็จะมีผลตอบแทนจากเงินสดที่มีอยู่ในมือเพิ่มขึ้น และหากสามารถนำเงินไปลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้ตามแผนก็จะช่วยให้ผลการดำเนินการดีขึ้นอีก

ปรับคาดการณ์กำไรปี 2564 จากกำไรพิเศษ และจะโดดเด่นในปี 2565 ราคาพื้นฐานปี 2565 อยู่ที่ 22.80 บาทปรับคำแนะนำขึ้นเป็น“ ซื้อ”

คาดการดำเนินปกติปี 2564 จะขาดทุน 469 ล้านบาทเมื่อรวมกับกำไรขายหุ้น SF จะพลิกมีกำไรที่ 2,355 ล้านบาทและจะนำเงินบางส่วนจากการขาย SF มาจ่ายปันผลคาดที่ 1 บาท/หุ้นและในปี 2565 หลังสถานการณ์คลี่คลายภาพยนตร์ใหญ่จากฮอลลีวูดและภาพยนตร์ไทยเข้าฉายต่อเนื่อง คาดจะเห็นการฟื้นตัวทั้งรายได้และกำไรโดดเด่นโดยคาดกำไรในปี 2565 อยู่ที่ 1,019 ล้านบาทอิง P/E 20 เท่าราคาพื้นฐานปี 2565 จะอยู่ที่ 22.80 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จาก “ทยอยซื้อ”

- Advertisement -