เฟดส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาด

ตลาดหุ้นวานนี้… SET Index ปิดที่ 1,633.36 จุด เพิ่มขึ้น 7.45 จุด (+0.46%) มูลค่าการซื้อขาย 57,299.43 ล้านบาท จากดัชนี CPI สหรัฐเดือน พ.ย.ขยายตัว 7.1% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 7.3% ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าและเงินบาทแข็งค่า

แนวโน้มตลาดวันนี้… ตลาดขานรับผลการประชุมเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในปีนี้ ด้าน Dot plot คาดว่าเฟดจะยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 ที่ระดับ 5.1% (กรอบของเฟดอยู่ที่ 5.00-5.25%) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ขณะที่ถ้อยแถลงของพาวเวลให้โทนที่จะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าตลาดคาดเล็กน้อย ทั้งนี้ติดตามการประชุม ECB และ BOE ส่วนปัจจัยในประเทศ ติดตามปัญหาดาวเทียมไทยคม การควบรวมกิจการโทรคมนาคมของ TRUE และ DTAC พร้อมจับตาองค์ประชุมสภาหลัง ส.ส.ลาออก 31 คน และการประชุมบอร์ด ปตท. ที่มีวาระที่น่าติดตามอย่างการสนับสนุนเงินให้ภาครัฐ 6 พันล้านบาท เพื่อช่วยเหลือค่าไฟ และอีก 2.7 พันล้านบาทเพื่อช่วยตรึงราคา NGV

กลยุทธ์การลงทุน … ประเมิน SET Index มีโอกาสย่อตัวลงทดสอบแนวรับ 1628-20 แนะนำเพียง Trading ระยะสั้นๆ 1620-1640 Selective Buy ในหุ้นที่อิงกับปัจจัยบวกภายในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก CPALL MAKRO CBG ท่องเที่ยว SHR MINT AAV ธนาคาร BBL KBANK TTB PTTEP PTTGC TOP ESSO

เคาะไป คุยไป…IIG

  • ตั้งเป้ารายได้ที่ 900-950 ล้านบาท (+30%YoY) โดยแนวโน้ม margin ปรับตัวขึ้นตามความต้องการในการ transform ธุรกิจของลูกค้าองค์กรมาใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้น
  • ได้ประโยชน์โดยตรงจากกระแส Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตแบบ exponential โดยเฉพาะธุรกิจ ERP ที่มีการใช้งาน On Cloud มากขึ้น ส่วนธุรกิจ CEM ยังสามารถขยายฐานลูกค้าไปให้หลากหลาย อีกทั้งยังมี upside จากโอกาสการทำ M&A เพิ่มเติมในอนาคต
  • ราคาหุ้น Underperform SET ราว -23.5% มีโอกาสที่ตลาดจะกลับมาสนใจตามธุรกิจที่เติบโตไปกับ mega trend อย่าง Cloud Computing

Global Markets

(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ปรับตัวลงหลังเฟดมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ตามคาดในการประชุมครั้งล่าสุด อย่างไรก็ดี เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานขึ้น เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมาย

(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 หลังจาก EIA และกลุ่ม OPEC+ คาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะฟื้นตัวในปีหน้า

(+) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลบ ก่อนที่นักลงทุนจะรู้ผลการประชุมเฟด

ประเด็นเด่นวันนี้

  • DTCENT เปิด GPS นำทางเข้าเทรดใน SET วันแรก โดยบริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม (GPS Tracking) ครบวงจร และครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของประเทศ ทั้งนี้มีจุดแข็งอย่างบจก. บุญรอด ซัพพลายเชน บริษัทชั้นนำด้านโลจิสติกส์ และ บจก. ยาซากิ เอ็นเนอร์ยี ซิสเท็มส์ ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายชิ้นส่วนสำหรับยานพาหนะขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น เชิงกลยุทธ์ (Strategic Shareholder) ที่เข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์และเสริมช่องทางการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ รวมถึงแผนการขยายธุรกิจด้านไอโอทีโซลูชั่น (IoT Solution) ทั้งนี้ ราคา IPO หุ้นละ 2.86 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 872.30 ล้านบาท P/E ที่ 46.78 เท่า
  • สรุปงาน Thailand Economic Montior Distributional Impact of Fiscal Spending and Revenue ซึ่งปัจจัยที่ท้าทายสำหรับนโยบายการคลัง คือการช่วยรักษา และลดแรงกดดันด้านราคาสินค้า จากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา โดยนโยบายการคลังอาจไม่สามารถใช้แบบกระจายได้เหมือนเดิม ต้องปรับมาเป็นแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องดูเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการเดินหน้าเข้าสู่การจัดทำงบประมาณแบบสมดุล หลังจากที่ไทยขาดดุลงบประมาณมานาน จนส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะในระยะยาว
  • เวิลด์แบงก์ หั่น GDP ไทยปี 66 เหลือโต 3.6% จากการชะลอตัวของอุปสงค์โลกที่เกิดเร็วกว่าที่คาด แต่ว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนยังเป็นปัจจัยบวกหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ส่วนปี 65 จะขยายตัวได้ 3.4% ทั้งนี้ คาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเป็นบวก ขณะที่หนี้สาธารณะได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วที่ระดับ 61.1% ต่อจีดีพีในปีงบประมาณ 65 แต่ก็ยังมีแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกว่ากรอบ ธปท. ที่ 2% ในช่วง 1H66 ทำให้พื้นที่การใช้นโยบายการคลังลดลง มองเป็นบวกต่อกลุ่ม Domestic consumption และ Re- opening
- Advertisement -