บล.บัวหลวง:

Agro & Food – หุ้นลงทุนอันดับแรกของเราในปี 2566 เปลี่ยนไปเป็น CPF (NEUTRAL)

เรามองว่าราคาหมูจีนและราคาหมูเวียดนามที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวแรงในปี 2566 ถือว่าเป็นอัพไซด์ต่อกำไรของ CPF ในปี 2566 ดังนั้นเราจึงทําการปรับเปลี่ยนหุ้นอันดับแรกสําหรับการลงทุนในกลุ่มเกษตรและอาหารจาก GFPT ไปเป็น CPF แทน ทั้งนี้มูลค่าหุ้นของหุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการปศุสัตว์ทั้งหมด ณ ปัจจุบันถือว่ายังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวของหุ้นแต่ละบริษัท

การคาดการณ์ราคาหมูจีนและหมูเวียดนามฟื้นตัวแรงในปี 2566

แม้ว่ามาตรการคุมเข้มโควิดให้เป็นศูนย์ในประเทศจีนได้ผ่อนปรนและคลี่คลายลงบ้างในเดือนธ.ค. แต่ราคาหมูมีชีวิตในประเทศจีนก็ยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากประชาชนชาวจีนที่ยังคงมีความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น และจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากหลังการผ่อนปรนมาตรการที่เข้มงวด แต่เรามองว่าเป็นเพียงแค่ปัจจัยลบระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากการยกเลิกข้อจํากัดและมาตรการที่เกี่ยวกับโควิด 19 จะเป็นปัจจัยหนุนอุตสาหกรรมภาคการท่องเที่ยวของประเทศจีนให้กลับมาเติบโตแรงในปี 2566 ในขณะที่ราคาหมูมีชีวิตในประเทศเวียดนามที่ยังคงปรับตัวลดลงเนื่องจากการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งของโรค ASF ในหมูในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. ส่งผลให้มีการดัมพ์อุปทานหมูของผู้ประกอบการรายย่อยเข้ามาในตลาดจํานวนมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เต็มปีของการเปิดประเทศเวียดนามเพื่อต้อนรับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาหมูเวียดนามสําหรับ ในปี 2566

CTI และ CPP คาดพลิกกลับไปเป็นกำไรในปี 2566

ถ้าอ้างอิงจากประมาณการของเราสำหรับราคาหมูจีนที่ 22 หยวน/กก. และราคาหมูเวียดนามที่ 62,000 ดอง/กก. ในปี 2566 (ภายใต้สมมติฐานที่มีการยกเลิกข้อจํากัดต่างๆ ด้านโควิด 19 อย่างเต็มรูปแบบในประเทศจีนในปี 2566 และผลกระทบที่เต็มปีของการเปิดประเทศเวียดนามเพื่อรับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว) เราคาดส่วนแบ่งขาดทุนของ CTI ที่ 2.3 พันล้านบาทในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะพลิกกลับไปเป็นส่วนแบ่งกําไรที่ 500 ล้านบาทในปี 2566 และขาดทุนสุทธิของ CPP ที่ 1.8 พันล้านบาทในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะพลิกกลับไปเป็นกําไรสุทธิ 500 ล้านบาทในปี 2566

ราคาพันธุ์ปศุสัตว์ไทยที่ยั่งยืนในระดับสูง สะท้อนภาวะการขาดแคลนพันธุ์สัตว์

ราคา ณ ปัจจุบันของทั้งลูกเจี๊ยบและลูกหมูที่ยังคงยืนในระดับสูง ถือว่าสะท้อนภาวะการขาดแคลนพันธุ์ปศุสัตว์ซึ่งเริ่มตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 โดยปัจจัยหลักที่หนุนให้ราคาพันธุ์สัตว์ยังคงยืนในระดับสูง ได้แก่ การกลับมาแพร่ ระบาดอีกครั้งของโรคไข้หวัดนกในหลายประเทศ ข้อเท็จจริงที่ว่าอุปทานลูกเจี๊ยบส่วนใหญ่อยู่ในมือของผู้ประกอบการไก่รายใหญ่ (น้อยมากอยู่ในมือของผู้ประกอบการรายย่อย) ต้นทุนอาหารสัตว์ที่ยังคงยืนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และอุปทานแม่หมูและลูกหมูที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรค ASF คิดเป็นราว 30-35%

ปรับเปลี่ยนหุ้นที่ลงทุนเป็นอันดับแรกในปี 2566 จาก GFPT ไปเป็น CPF

เราทำการปรับเปลี่ยนหุ้นที่ลงทุนอันดับแรกในกลุ่มเกษตรและอาหารจาก GFPT ไปเป็น CPF แทน เนื่องจากอัพไซด์ที่จะมีมากกว่าต่อประมาณการกำไรหลักในปี 2566 จากราคาหมูจีนและราคาหมูเวียดนามที่มีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการที่เราคาดก่อนหน้า นอกจากนี้ผลประกอบการของทั้ง CTI และ CPP มีแนวโน้มที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2565 และจะพลิกกลับไปเป็นกำไรในปี 2566 จากการฟื้นตัวแรงของราคาหมูจีนและราคาหมูเวียดนาม ในทางกลับกัน กำไรหลักของ GFPT มีแนวโน้มขยายตัวเพียงแค่เล็กน้อยสำหรับในปี 2566 เนื่องจากฐานกําไรหลักปี 2565 ที่อยู่ในระดับที่สูงมาก ทั้งนี้หุ้น GFPT TFG และ BTG ถือว่าเป็นหุ้นที่เราเลือกเป็นอันดับที่สองในกลุ่มเกษตรและอาหาร เนื่องจากมูลค่าหุ้นของทั้งสามบริษัทที่ยังคงถูกมาก และ ณ ปัจจุบัน หุ้น CPF ซื้อขายที่ PER ปี 2566 ที่ 11.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 13.1 เท่า และหุ้น TFG และ GFPT ซื้อ ขายที่ PER ในปี 2566 ที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ระยะยาวของหุ้นทั้งสองบริษัท

- Advertisement -