คาด Sideway down หลายประเทศคุมเข้มหลังจีนเปิดประเทศ
ตลาดหุ้นวานนี้ .. … SET Index ปิดที่ 1,647.28 จุด เพิ่มขึ้น 4.12 จุด (+0.25%) มูลค่าการซื้อขาย 47,109.10 ล้านบาท ปรับขึ้นรับแรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ และคาดนักท่องเที่ยวเข้าไทยเร็วกว่าคาด
แนวโน้มตลาดวันนี้… คาดปรับตัวลงขานรับ US bond yield ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง กดดันการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง และมีปัจจัยลบจากทางการจีนเตรียมเปิดประเทศ 8 ม.ค. นี้ แม้การกลับมาเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของนักท่องเที่ยวชาวจีน จะเป็นความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของหลายประเทศ แต่หลายประเทศที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวดังกล่าวเช่นสหรัฐฯ อินเดีย และญี่ปุ่น ที่ประกาศยกระดับมาตรการคัดกรองโควิด-19 ผู้ที่เดินทางมาจากจีน ประกอบกับราคาหุ้นในกลุ่ม China re- Opening ที่เริ่มสูงกว่าระดับ Pre COVID แล้ว มอง upside เริ่มจำกัด และเห็นแรงขายเล่นรอบบางส่วน ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงมา 10.85% มองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามรายงานเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย. 2565 จาก ธปท.
ตัวเลขที่น่า ติดตาม 30 ธ.ค. Chicago PMI (Dec) ของ USA
กลยุทธ์การลงทุน… ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway down แนะนำ Trading ในกรอบ 1630-1650 โดยสะสมกลุ่มธนาคาร BBL KBANK TTB KKP ที่เรามองว่ายังสามารถซื้อแล้วถือหุ้นข้ามปีได้มี downside ที่จำกัด กลุ่มโรงไฟฟ้าจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง BGRIM GPSC EGCO GULF RATCH กลุ่มโรงพยาบาลจากความกังวลการแพร่ระบาดโควิดหลังจีนเปิดประเทศ BH BDMS PR9 IMH
เคาะไป คุยไป… SAWAD
- แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 62.00 บาท อิง PE ที่ระดับ 16.7 เท่า โดดเด่นในแง่ valuation ที่น่าสนใจหลังราคาหุ้น -24.3%YTD สะท้อนปัจจัยลบไปพอสมควร หนุนให้ upside สูงขึ้น รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการที่จะกลับมาขยายตัวในปี 66-67 จากการปล่อยสินเชื่อในเชิงรุกมากขึ้น โดยมีสินเชื่อเช่าซื้อเป็น key driver รวมถึงได้รับผลกระทบจากการใช้ พ.ร.บ.เช่าซื้อใหม่ที่จำกัด
- แนวโน้ม 4Q65 ยังหดตัวทั้ง QoQ และ YoY อยู่ที่ 1.02 พันล้านบาท ตามค่าใช้จ่ายในการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น แต่ด้านสินเชื่อยังคงเติบโตต่อเนื่อง หลังงวด 9M65 ขยายตัวมาแล้ว 39.2%YTD ซึ่งเป็นผลมาจากสินเชื่อเช่าซื้อที่ขยายตัวกว่า 220.6%YTD รวมถึงการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น ตามการปล่อยสินเชื่อในเชิงรุก ขณะที่ภาพทั้งปีประเมินกำไรสุทธิเท่ากับ 4.28 พันล้านบาท (-9.3%YoY) แต่หลังจากการปรับโครงสร้างองค์กรจากการรวมกันของ BFIT และ SCAP จะหนุนให้ขยายสินเชื่อได้ตามเป้า
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 300 จุด กังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในจีน
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบหลังตลาดยังคงประเมินมาตรการต่างๆ ของจีนที่จะเปิดเศรษฐกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากโรคโควิดระบาด
(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดลบ กังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในจีนจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลบ แม้จะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง หลังจากจีนประกาศเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ทั้งขาเข้าและขาออกในเดือนม.ค.ปีหน้า
ประเด็นเด่นวันนี้
- สมาคมธนาคารไทย ระบุ 1 ม.ค. แบงก์เตรียมขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.4% ต่อปี โดยมาตรการปรับลดเงินเข้ากองทุน FIDF ที่ช่วยลดภาระของธนาคารลงจะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ ทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. เป็นต้นไป ธนาคารพาณิชย์จำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.4% ต่อปี เพื่อส่งผ่านภาระทางการเงินไปยังปลายน้ำ โดยรวมมองเป็นกลางต่อกลุ่มธนาคาร เนื่องจากภาระส่วนเพิ่มสามารถส่งต่อได้ แต่ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไม่ดีนัก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เป็นตัวละครหลักที่ปล่อยเม็ดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพิ่มภาระให้แก่ผู้กู้ ทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีน้อยลง จนอาจกระทบไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงตามด้วย อย่างไรก็ดี ภาพการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจหลักอย่างภาคการท่องเที่ยว มีทิศทางที่ชัดเจน ทั้งในช่วงก่อนหน้า และแรงหนุนในช่วง ถัดไปจากนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมา จึงมองเศรษฐกิจจะยังฟื้นตัวและสามารถรับภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมาได้
- นักท่องเที่ยวจีน โอกาสหรือวิกฤติ วานนี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานยอดผู้ป่วยในโรงพยาบาลของประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นผลมาจากการเดินขบวนประท้วงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ในจีน ทำให้เชื้อ COVID-19 กระจายตัวได้เร็ว โดยมองจะมีผู้ติดเชื้อราว 1 ล้านคนต่อวัน ใต้หวัน และด้านฟิลลิปปินส์ เดินหน้าสกัดการติดเชื้อที่อาจติดมากับนักท่องเที่ยวจีน โดยใต้หวันให้ตรวจโควิดนักท่องเที่ยวจีนทุกคนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ขณะที่ รมว.คมนาคมฟิลลิปปินส์หนุนใช้มาตรการคุมเข้มการตรวจเชื้อของนักท่องเที่ยวจากจีน จึงเป็นที่น่าจับตาว่าไทยเราจะมีมาตรการคุมเข้มตามมาหรือไม่ เนื่องจากไทยเพิ่งประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นเมื่อ 1 ก.ค. 65 หากไม่มีมาตรการรองรับอาจทำให้เกิดการอุบัติซ้ำของการแพร่ระบาดในวงกว้าง จึงอาจต้องกลับมาจับตาการติดเชื้ออย่างใกล้ชิด ซึ่งหากมีการกลับมาระบาดอีกครั้ง อาจเป็นโอกาสของหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลที่จะกลับมาน่าสนใจ