ทริสฯ ปรับเครดิตองค์กร STARK ขึ้นเป็น BBB+ แนวโน้ม “Stable” คาดปี 65-67 รายได้แตะ 2.8-3.1 หมื่นลบ.ต่อปี – EBITDA 4.5-5.8 พันลบ. ครองตำแหน่งผู้นำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ปลื้ม! ทริสเรทติ้งประกาศปรับระดับเป็น “BBB+”ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” เหตุรักษาตำแหน่งผู้นำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนไว้ได้ ประเมินปี 65-67 มีรายได้ประมาณ 2.8-3.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วน EBITDA อยู่ที่ 4.5-5.8 พันล้านบาทต่อปี ชี้สภาพคล่องทางการเงินเพียงพอต่อความต้องการใช้ลงทุน ฟากบิ๊กบอส “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ระบุพื้นฐานแข็งแกร่ง Core Business เติบโตโดดเด่น มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้าแตะ 30,000 ล้านบาท ทำนิวไฮต่อเนื่อง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ระบุว่า บริษัทยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำของบริษัทในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนชื่อเสียงที่แข็งแกร่ง และประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานของบริษัทลูกคือ บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นจากกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบและความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
“ทริสเรทติ้งมองว่ากลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสายไฟฟ้าแรงดันปานกลางจนถึงแรงดันสูงเป็นพิเศษนั้นมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยบริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ซึ่งไม่รวมผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเป็น 19.8% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 17.5% ในปี 2564 และ 14.5% ในปี2563”
ทั้งนี้ ในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์ของสายไฟฟ้าที่ยังแข็งแกร่งในประเทศไทยและในประเทศเวียดนาม อัตรากำไรของบริษัทมีแนวโน้มที่จะคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากบริษัทยังคงเน้นการจำหน่ายสายไฟฟ้าที่มีมูลค่าสูงและยังคงดำเนินโครงการลดต้นทุนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ในช่วงระหว่างปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 2.8-3.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วน EBITDA Margin นั้นจะคงอยู่ในช่วง 15%-18% หรือคิดเป็น EBITDA ที่ประมาณ 4.5-5.8 พันล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าสถานะทางการเงินของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับเดิมโดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อEBITDA อยู่ในช่วง 2.5-4 เท่าใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน
รวมถึงในช่วง 12 เดือนข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่า แหล่งเงินทุนของบริษัทน่าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้เงิน โดยแหล่งเงินทุนดังกล่าวประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 0.45 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.7 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่การใช้เงินทุนหลัก ๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นจะประกอบด้วยการชำระหนี้เงินกู้จำนวนประมาณ 1.97 พันล้านบาท และการลงทุนตามแผนอีกประมาณ 0.96 พันล้านบาท รวมถึงหุ้นกู้มูลค่ารวม 2.78 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 นั้นบริษัทน่าจะใช้วิธีออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน ในการนี้ ทริสเรทติ้งยังไม่ได้นับ เงินเพิ่มทุนมารวมไว้ในการประเมินสภาพคล่อง โดยบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนและได้รับเงินจำนวน 5.58 พันล้านบาทในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา
นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า30,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยจะมาจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล ที่ตลาดยังเติบโตได้ทั้งจากการขยายตัวของความต้องการไฟฟ้าทั้งในไทย เวียดนาม และตลาดต่างประเทศ โดยการขยายตัวของงานที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) โดยเฉพาะโครงการสายไฟลงใต้ดิน และ Renewable Energy (RE) โดยมีการพัฒนาสินค้าใหม่ที่มี high margin ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ปัจจัยพื้นฐานของ STARK ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยยังคงมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก รวมถึงความสามารถในการสร้างผลงานดำเนินทั้งรายได้และกำไรให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”
ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีงานที่กำลังอยู่ระหว่างการประมูลติดตามอยู่อีกมาก ทั้งในประเทศไทย เวียดนามและต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งแสวงหา New S-curve ให้กับธุรกิจตลอด เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน